หากใครเคยได้ยินเรื่องราวของ “ปอบผีฟ้า” ผ่านละครที่สร้างภาพจำเกี่ยวกับความเชื่อและวิถีชีวิตของคนอีสานในอดีต นอกจากเรื่องราวของ “ปอบ” แล้วยังมีความเชื่อเรื่อง “ผีฟ้า” ผีที่มีหน้าที่รักษาอาการป่วยไข้ของคนในหมู่บ้านในยุคสมัยที่การแพทย์ยังไม่พัฒนาก้าวหน้าเฉกเช่นปัจจุบัน คนอีสานมีการทำพิธีกรรมเพื่อรักษาคนไข้ด้วยการบูชาผีฟ้าและเรียกขวัญผู้ป่วย ซึ่งมีความคล้ายกับพิธีกรรม “เหยา” ของชาวผู้ไท หรือพิธีกรรม “แกลมอ” ของชาวกูย ทั้งนี้ พิธีกรรมนี้รู้จักแพร่หลายมากขึ้นเมื่อมีการนำพิธีกรรมดังกล่าวไปนำเสนอผ่านเวทีการประกวดสาวงามในการแสดงชุดประจำชาติจังหวัดสุรินทร์
ทว่านอกจากพิธีเหยาและพิธีแกลมอแล้ว ในพื้นที่จังหวัดมุกดาหารยังมีพิธี “ลงเทดา” พิธีกรรมการเรียกขวัญและรักษาผู้ป่วยที่มีการสืบทอดมานานนับร้อยปีซึ่งเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมที่เริ่มสูญหายไปจากบันทึกและความทรงจำของผู้คน
ผู้เขียนเพิ่งทำความรู้จักพิธี “ลงเทดา” เป็นครั้งแรกผ่านการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองของนักเรียนโรงเรียนมุกดาวิทยานุกูล อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 และได้ยินชื่อพิธี “ลงเทดา” อีกครั้งในวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ผ่านการแสดงของนักเรียนโรงเรียนดอนตาลวิทยา อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองของนักเรียนจากทั้ง 2 อำเภอนั้นมีทั้งชื่อชุดการแสดง และลักษณะการแสดงที่คล้ายกันมากจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทำให้มีความสนใจกลับมาสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต แต่ไม่พบข้อมูลของพิธีกรรมดังกล่าว จึงทำการศึกษาฟาข้อมูลโดยการลงพื้นที่เก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ผู้รู้ คือ คุณอัครพล ทองมหา ปราชญ์ชาวบ้านแห่งชุมชนบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร

ภาพที่ 1 ลักษณะการประกอบพิธีกรรม “ลงเทดา”
ชุมชนบางทรายใหญ่เป็นชุมชนเก่าแก่ดั้งเดิมของจังหวัดมุกดาหาร ผู้คนในชุมชนเป็นกลุ่มชาวลาวที่อพยพจากเมืองสะหวันนะเขต (หรือชื่อเดิม เมืองคันทะบูลี) สปป.ลาว ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขง ย้ายมาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ทั้งนี้ ตามประวัติความเป็นมาของพื้นที่ วิถีวัฒนธรรมและความเชื่อดั้งเดิมของผู้คนในแถบลุ่มแม่น้ำโขงนั้น นับถือผี หรือ แถน จนกระทั่งเมื่อพุทธศาสนาได้แผ่ขยายเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบการถือผี-ถือแถน ถูกปรับเปลี่ยนไปตามอิทธิพลของพราหมณ์-ฮินดู และการนับถือพุทธศาสนา แต่ความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ ผี แถน เทพ ยังคงดำรงอยู่และสืบทอดต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน
เมื่อพิจารณาลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ชุมชนบางทรายใหญ่และอำเภอดอนตาล พบว่าทั้งสองอำเภอตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง แต่เป็นคนละกลุ่มชาติพันธุ์กัน โดยชาวดอนนตาลเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิง อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้ว่าผู้คนจากสองพื้นที่อาจมีการติดต่อแลกเปลี่ยนวิถีชีวิตวัฒนธรรมของผ่านการเจรจาค้าขาย ดังนั้น “พิธีลงเทดา” จึงอาจปรากฏในพื้นที่ต่างกันด้วยปัจจัยดังกล่าว

ภาพที่ 2 เครื่องเซ่นไหว้ที่ใช้ในพิธีกรรม “ลงเทดา”
ข้อมูลจากการสัมภาษณ์คุณอัครพล ทองมหา ปราชญ์ชาวบ้านชุมชนบางทรายใหญ่ และ “จ้ำ” (ผู้สื่อสารระหว่างผู้คนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ได้บอกเล่าถึงความทรงจำเกี่ยวกับพิธีลงเทดาที่ถ่ายทอดมาจากความทรงจำของบรรพบุรุษอีกทอดหนึ่ง โดยตาก่ำ ทองมหา ผู้เคยเห็นและเข้าร่วมพิธีลงเทดาในชุมชน เคยเล่าให้ฟังว่า ในอดีตเมื่อราว 60-70 ปี ก่อน ชุมชนเคยจัดพิธีกรรมแบบครบสมบูรณ์ ซึ่งประกอบด้วยพิธีหลัก 2 ส่วน คือ “การเลี้ยงผาม” และ “การปัว” แต่ปัจจุบันลดทอนลงคงเหลือเฉพาะการปัว หรือการรักษาผู้ป่วยและการเรียกขวัญผู้ป่วยเท่านั้น
การปัวของพิธีลงเทดามีรูปแบบเดียวกันกับพิธีเหยาของชาวผู้ไท โดยก่อนเริ่มทำการรักษาผู้ป่วยต้องทำพิธี “ปลุกผามเทดา” (ผาม หมายถึง ปะรำพิธี) ซึ่งการตั้งปะรำพิธี เรียกว่า “วันตั้ง วันโฮม” เป็นการตั้งปะรำพิธีเตรียมรอหมอเทดา และผู้ร่วมงานที่เดินทางมาจากหมู่บ้านอื่น ๆ ล่วงหน้าเป็นเวลา 1-2 วัน
เมื่อถึงวันพิธีก็ต้องเตรียมเครื่องใช้ต่างๆ ในการประกอบพิธี เรียกว่า “เครื่องคาย” สิ่งของที่ต้องจัดหา ได้แก่ เครื่องแต่งกายของหมอเทดา นางเทียมนางจ้ำ (ร่างทรง) ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ เช่น ดอกมันปลา (กันเกรา) ดอกสะมั่ง (ชะมั่ง) ดอกจำปาลาว (ลีลาวดี) ดอกตะแบง (สะแบง) ธูป เทียนขัน 5 ขัน 8 เหล้า มะพร้าว อาวุธ ม้า (ก้านกล้วย) เครื่องประดับทำจากหอยเดื่อ (หอยทากชนิดหนึ่ง) เครื่องแต่งกาย เช่น ซิ่นไหมคำ ผ้ายาว ผ้าหาง ผ้าฮำขาไก่ ซึ่งแตกต่างกันตามเพศของเทดา หรือวิญญาณที่เข้าสิงร่างทรง (อาจเป็นวิญญาณเจ้าเมือง ทหาร เจ้านาง และอื่นๆ เป็นต้น) ทั้งนี้ หากภายในปะรำพิธีหากมีเทดาหลายองค์ นางเทียมหลายคนก็ต้องตั้งคายแยกกันให้ชัดเจน
นอกจากการตั้งปะรำพิธีและจัดหาข้าวของแล้วจำเป็นต้องมีบุคคลต่างๆ ร่วมเป็นองค์ประกอบในพิธีด้วย อาทิ หมอแคน (เล่นแคนประกอบการลำของเทดา) นางเทียม และ “ผู้คุมผาม” จากตระกูลอัญญาหรือลูกหลานเจ้าเมือง ทำหน้าที่ดูแลนางเทียมในพิธี กรณีมีสัมภเวสีมาเข้าร่างแทนที่จะเป็นเทดา หรือ จิตวิญญาณที่ดี ผู้คุมผามต้องเชิญวิญญาณนั้นออกไป
ในการทำพิธี “ปัว” นางเทียมจะขับลำ (ร้องเพลง) ที่มีท่วงทำนองต่างกันไป ไม่มีรูปแบบจำเพาะ ประกอบกับเสียงแคน หากเทดาประทับร่างนางเทียมมักส่งเสียงยินดีและฟ้อนรำ ไม่ใช้เสียงกระโชกโฮกฮากดุดัน ทั้งนี้ หากเทดาเป็นวิญญาณชั้นสูง (เจ้าเมือง เจ้านาง) จะมีท่าทีขึงขังกว่าเทดาในระดับทั่วไป ผู้ที่มาร่วมงานจะหมอบกราบและนำเครื่องประกอบพิธีไปถวาย ส่วนเทดาจะขับลำ พูดคุยหรือบอกสาเหตุ อาการของผู้ป่วย จนกระทั่งเสร็จพิธีจึงลำส่งเทดา และมีการ “เลี้ยงผาม” หรือการกินข้าว เลี้ยงส่งผู้มาเยือน สร้างเป็นบรรยากาศความสามัคคี การพบปะกันของเครือญาติชาติพันธุ์ที่กระจายไปตั้งรกรากตามหมู่บ้านต่าง ๆ นั่นเอง

ภาพที่ 3 พิธี “ลงเทดา” ในรูปแบบการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองของนักเรียนในจังหวัดมุกดาหาร
ปัจจุบันพื้นที่ชุมชนบางทรายใหญ่ยังคงสืบทอดพิธีลงเทดาไว้เฉพาะ “การ ตั้งคาย” เลี้ยงผีบ้านผีเมือง ผีบรรพบุรุษต่าง ๆ ในประเพณีสำคัญอย่างบุญบั้งไฟและบุญประจำปีเท่านั้น ไม่มีการตั้งผามเพราะไม่มีผู้สืบทอดพิธีกรรมดังกล่าว เนื่องด้วยอิทธิพลของทำให้ผู้คนเปลี่ยนความเชื่อเรื่องนับถือผีมาเป็นศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นหลัก อีกทั้งมีความเกรงกลัวผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่เคร่งครัดในข้อปฏิบัติของนางจ้ำนางเทียมที่มีข้อห้ามหลายอย่าง รวมถึงการจัดเตรียมเครื่องประกอบพิธีไม่ครบสมบูรณ์ก็อาจบันดาลให้ผู้นั้นประสบกับเรื่องไม่ดี
นอกจากนี้ พิธีการปัว (รักษาโรค เรียกขวัญ สู่ขวัญ เสี่ยงทาย) ชุมชนบางทรายใหญ่เชิญหมอเหยาจากชุมชนอื่นมาช่วยประกอบพิธีแทน และเรียกชื่อพิธีเป็น “พิธีเหยา” แทนชื่อเดิม ดังเช่นในงานบวงสรวงอดีตเจ้าเมืองมุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567 มีการจัดพิธีเหยาเสี่ยงทาย ซึ่งมีองค์ประกอบคล้ายกับ พิธีลงเทดา ขณะที่บางชุมชนในพื้นที่อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ยังมีการประกอบพิธีลงเทดาเป็นประจำปีละครั้ง หรือสองปีต่อครั้ง และจัดขึ้นในช่วงบุญผะเหวด หรือบุญประจำบ้าน
แม้พิธีลงเทดาได้เริ่มสูญหายและเลือนลางไปจากชุมชน ผู้คน และความทรงจำของชุมชนต่าง ๆ ทว่ายังมีผู้ที่พยายามสืบทอดภูมิปัญญาที่สะท้อนถึงรากเหง้าวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนผ่านการปรับประยุกต์พิธีกรรมและความเชื่อมานำเสนอในรูปแบบการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในสถาบันการศึกษา ดังเช่น โรงเรียนมุกดาวิทยานุกูล โรงเรียนดอนตาลวิทยา ด้วยการดัดแปลงรูปแบบพิธีกรรมบางส่วนเป็นท่าฟ้อนรำ การขับลำด้วยท่วงทำนองและสำเนียงพื้นถิ่น การนำเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่ใช้ในพิธีกรรม เช่น ผ้าซิ่นไหมคำ ดาบ ของ้าว ดั้งเดิม เงินลาด ขันเงิน ฯลฯ มาประกอบการแสดง
อย่างไรก็ดี พิธีกรรมนี้สะท้อนภูมิปัญญา ความเป็นมา อัตลักษณ์ของชุมชนและชาติพันธุ์ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ควรค่า น่าภูมิใจที่มีรากเหง้าเป็นของตนเอง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่ง หากปล่อยให้พิธีลงเทดาค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา