*ภาพปกถูกสร้างขึ้นด้วย AI เพื่อประกอบบทความเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่จริง
เมื่อกล่าวถึงแหล่งอาหารการกินในกรุงเทพฯ ยุคทศวรรษ 2460-2480 คงไม่พ้นถนนเยาวราชและราชวงศ์ที่เป็นย่านรวมภัตตาคารและร้านอาหารชื่อดังหลายแห่งในสมัยนั้น มีบรรยากาศคึกคักตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือสินค้าและชุมชนการค้าขนาดใหญ่ของคนจีน บรรดาภัตตาคารจีนรุ่นแรกๆ ในย่านนี้ที่มีชื่อเสียงมาก คือ โฮเต็ลปักจันเหลา ( 百珍樓旅店) ที่เปิดกิจการมายาวนานถึงสามแผ่นดินก่อนเลิกกิจการไป
ภาพประกอบ 1 : โฆษณาปักจันเหลา ในหนังสือที่ระลึกสยามรัฐพิพิธภัณฑ์
แหล่งที่มา : ที่ระลึกสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ สวนลุมพินี พ.ศ. 2468. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ เดลิเมล์. (2470) ,น.XXXIX
ภัตตาคารปักจันเหลาก่อตั้งด้วยน้ำพักน้ำแรงของนายซุ่นหัว และนางเปลี่ยน ศิรินันทน์ โดยก่อนหน้านี้ นายซุ่นหัวมีอาชีพเป็นพนักงานเรือเดินทะเลระหว่างจีนและสยาม ส่วนนางเปลี่ยนผู้เป็นภรรยา หลังจากสมรสกันในปีพ.ศ. 2443 ได้ช่วยดูแลการเงินของสามีในการเก็บหอมรอมริบรายได้จากการเป็นพนักงานเดินเรือ และยังได้ทำการค้าเบ็ดเตล็ดเพิ่มเติมด้วย จนมีทุนทรัพย์มากพอจัดตั้งภัตตาคารแห่งนี้ขึ้นได้ราวพ.ศ. 2452 ซึ่งเป็นยุคแรกเริ่มของกิจการร้านอาหารขนาดใหญ่ขึ้นในประเทศ โดยผู้เขียนอนุมานจากบทละครพูดเรื่อง “บ๋อยใหม่” ของพระไพศาลศิลปศาสตร์ ที่ตีพิมพ์ในปีพ.ศ. 2449 ปรากฏตัวละครจีนเซ็งที่เคยเป็นบ๋อยกุ๊กช็อป (กุ๊กช็อป หมายถึง ร้านอาหารจีนสไตล์ฝรั่ง)
ตามข้อมูลที่ธเนศ วงศ์ยานนาวา ได้สัมภาษณ์โชติ ศิรินันทน์ ในปีพ.ศ.2542 (อายุ 88 ปี ขณะสัมภาษณ์) ทายาทของผู้ก่อตั้งภัตตาคารปักจันเหลา กล่าวว่าเมื่อครั้งดร.ซุนยัดเซ็น มาเยือนกรุงเทพฯ (ปลายปีพ.ศ. 2451) พ่อค้าจีนในเยาวราชได้จัดงานเลี้ยงรับรองที่ภัตตาคารแห่งนี้ จึงสามารถอนุมานได้ว่า ภัตตาคารปักจันเหลาน่าจะเปิดบริการมาก่อนปี พ.ศ. 2452 อย่างไรก็ดี มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าภัตตาคารแห่งนี้ก่อตั้งในช่วงทศวรรษที่ 2450 (ปลายรัชกาลที่ 5) ทั้งยังนับได้ว่าเป็นภัตตาคารที่มีชื่อเสียงมากในหมู่ชุมชนคนจีนในกรุงเทพฯ ยุคนั้น
ชื่อเสียงที่เลื่องลือของภัตตาคารปักจันเหลา ทำให้นายซุ่นหัวผู้เป็นเจ้าของภัตตาคารได้เข้ารับราชการในกรมมหาดเล็กในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีบรรดาศักดิ์เป็นรองหุ้มแพร ขุนทิพรสโอชา และต่อมาได้เลื่อนเป็นหลวงทิพรสโอชา พร้อมกับได้รับพระราชทานนามสกุลว่า “ศิรินันทน์ ” รวมทั้งได้รับพระราชทานเหรียญราชรุจิในปีพ.ศ. 2459 ระหว่างนี้ กิจการภัตตาคารปักจันเหลารุ่งเรืองมาก และยังมีการเปิดร้านถ่ายรูปชื่อ “บำรุงกรุง” เพิ่มเติมด้วย
ภาพประกอบที่ 2 : โฆษณาโฮเต็ลปักจันเหลา
แหล่งที่มา : จีนโนสยามวารศัพท์ ฉบับที่ 51 วันพุธที่ 7 มิถุนายน พุทธศักราช 2465, น.3
เนื่องจากหลวงทิพรสโอชาต้องเข้าเวรตามระเบียบราชการกรมมหาดเล็ก และตามเสด็จอยู่เนืองๆ การดูแลกิจการจึงตกเป็นภาระของนางทิพรสโอชา (เปลี่ยน) รวมถึงในปีพ.ศ. 2460 ปรากฏข่าวในหนังสือพิมพ์ว่า ขุนทิพรสโอชา เจ้าของโฮเต็ลแป๊ะจั่นเหลา (ปักจันเหลา) ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดบวรนิเวศวิหารเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ปีนั้น ในระหว่างการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ นางทิพรสโอชาก็เป็นผู้ดูแลกิจการแทนสามี
จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2464 ได้มีการเลิกกิจการร้านถ่ายรูปบำรุงกรุง แต่มีการขยายกิจการภัตตาคารปักจันเหลาโดยจัดตั้งขึ้นเป็น “โฮเต็ลปักจันเหลา” ดำเนินกิจการที่พักคนเดินทาง และยังคงเปิดจำหน่ายอาหารทั้งจีนและฝรั่ง รวมทั้งมีอาหารไทยจำหน่ายตามอย่างโฮเต็ลทั่วไปด้วย ซึ่งรายละเอียดกิจการของโฮเต็ลปักจันเหลานี้ปรากฏอยู่ในโฆษณาของหนังสือพิมพ์จีนโนสยามวารศัพท์ ฉบับที่ 51 วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2465
นอกจากนี้โฮเต็ลปักจันเหลายังมีบริการรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ และให้เช่าอุปกรณ์สำหรับจัดเลี้ยงเครื่องคาวหวานสำหรับจัดเลี้ยงงานต่างๆ อีกด้วย ทั้งนี้ ตามคำบอกเล่าของโชติ ศิรินันทน์ ยังได้กล่าวถึงเมนูอาหารที่มีสูตรต้นตำรับมาจากปักจันเหลา ได้แก่ “ไอศกรีมราชวงศ์” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังก่อนแพร่หลายไปยังภัตตาคารอื่นๆ และ “หมูหัน” เป็นเมนูเด่นของปักจันเหลา
ภาพประกอบที่ 3 : นางทิพรสโอชา (เปลี่ยน ศิรินันทน์) ภรรยาหลวงทิพรสโอชา
ผู้มีบทบาทในการก่อตั้งและดูแลกิจการปักจันเหลาเคียงข้างสามีมาโดยตลอด
แหล่งที่มาภาพ : ที่ระลึกในการฌาปนกิจศพ นางทิพรสโอชา (เปลี่ยน สิรินันทน์) ณ เมรุวัดธาตุทอง
ถนนสุขุมวิทย์ พระโขนง พระนคร 30 มีนาคม 2506 , กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์.
การเลิกกิจการปักจันเหลาเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2469 โดยอ้างอิงจากข้อมูลสัมภาษณ์โชติ ศิรินันทน์ ระบุว่าเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแนะนำให้หลวงทิพรสโอชาเลิกกิจการจำหน่ายอาหาร เหตุจากต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาก อย่างไรก็ตาม ข้อความในหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจของนางทิพรสโอชาได้ระบุว่าสาเหตุมาจากหลวงทิพรสโอชาถึงแก่กรรมในปีนั้น และส่งศพกลับไปฝังที่ประเทศจีนตามธรรมเนียมนิยมของชาวจีนโพ้นทะเล นางทิพรสโอชาจึงโอนกิจการโฮเต็ลปักจันเหลาให้ผู้อื่นดำเนินต่อและรับผลประโยชน์จากค่าเช่าเพียงเท่านั้น กิจการปักจันเหลาที่ดำเนินมาเกือบ 20 ปี จึงสิ้นสุดลง
แม้ปักจันเหลาจะหายไปจากวงการอาหารจีนในไทยเป็นเวลานานเกือบหนึ่งศตวรรษแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในหน้าบันทึกเกี่ยวกับร้านอาหารจีนในเมืองไทย มีปรากฏชื่อของ “ปักจันเหลา” ในฐานะตำนานภัตตาคารจีนรุ่นบุกเบิกอยู่ด้วย
บรรณานุกรม
หลักฐานชั้นต้น
ที่ระลึกในการฌาปนกิจศพ นางทิพรสโอชา (เปลี่ยน สิรินันทน์) ณ เมรุวัดธาตุทอง ถนนสุขุมวิท พระโขนง พระนคร 30 มีนาคม 2506 , กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์
พระราชทานเหรียญราชรุจิ. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 33 หน้า 3268-3280 , วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2459
ลครพูดเรื่องบ๋อยใหม่. วิทยาจารย์ เล่ม 6 ตอนที่ 10 วันที่ 15 พฤษภาคม ร.ศ.125 , น.385-414
สัมภาษณ์นายโชติ ศิรินันท์ อายุ 88 ปี วันที่ 11 สิงหาคม 2542 อ้างใน ธเนศ วงศ์ยานนาวา. ความเป็นอนิจจังของอาหารจีนชั้นสูงในกรุงเทพฯ : การเดินทางสู่เส้นทางของอาหาร "ประชาธิปไตย" . ศิลปวัฒนธรรม 24, 4 (กุมภาพันธ์ 2546) ; น. 132-145
อุปสมบท. จีนโนสยามวารศัพท์ ฉบับที่ 98 วันพุธที่ 1 สิงหาคม พุทธศักราช 2460 , น.2
โฮเต็ลปักจันเหลา. จีนโนสยามวารศัพท์ ฉบับที่ 51 วันพุธที่ 7 มิถุนายน พุทธศักราช 2465, น.3
หลักฐานชั้นรอง
เออิจิ มูราชิมา. ต้นกำเนิดลัทธิชาตินิยมจีนในสังคมชาวจีนในประเทศไทย. วารสารประวัติศาสตร์
ธรรมศาสตร์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (2019): กรกฎาคม-ธันวาคม 2562. น.20-79
วีระยุทธ ปีสาลี. กรุงเทพฯ ยามราตรี. กรุงเทพฯ : มติชน , (2557)