ทุกคนต่างรู้กันดีว่าพิพิธภัณฑ์เป็นแหล่งความรู้ที่นำสิ่งของต่างๆ มาจัดแสดงพร้อมคำอธิบายประกอบ แม้พิพิธภัณฑ์หลายแห่งนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชม แต่ใครหลายคนก็ยังมีภาพจำของพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่แสนเคร่งขรึมจริงจัง แถมด้วยใบงานกิจกรรมเวลาโรงเรียนพาไปทัศนศึกษา ผู้เขียนจึงอยากชี้ชวนตัวเลือกใหม่ของแหล่งความรู้ในรูปแบบ 'ธีมปาร์ค' กันบ้าง
'Noboribetsu Date Jidaimura' ในภูมิภาคฮอกไกโดเป็นชื่อธีมปาร์คที่จำลองบรรยากาศย้อนยุคสมัยเอโดะ (Edo period, 1603-1867) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุคสมัยที่มีชื่อเสียง และผู้คนต่างคุ้นเคยกับภาพพิมพ์แกะไม้ (Ukiyo-e) รูปคลื่นยักษ์ที่เป็นศิลปะระดับโลก รวมถึงย่านเริงรมย์โยชิวาระ (Yoshiwara) และกลุ่มซามูไรผู้พิทักษ์รัฐบาลโชกุน 'ชินเซ็นกุมิ (Shinsengumi)' ที่มักปรากฏในการ์ตูนมังงะ และอนิเมะหลายต่อหลายเรื่อง
ความน่าสนใจของธีมปาร์คแห่งนี้เริ่มจากคำถามของผู้เขียนว่า 'ทำไมแหล่งออนเซ็นอย่างโนโบริเบ็ทสึจึงสร้างหมู่บ้านย้อนยุค และเหตุใดจึงเฉพาะเจาะจงเป็นยุคเอโดะ?' เมื่ออ่านข้อมูลจากแผ่นพับก็พบว่ามีเหตุผลเป็นความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์โดยแท้ ไม่ได้สุ่มเลือกยุคสมัยเพื่อสร้างความดึงดูดใจนักท่องเที่ยวแบบไร้แก่น
ภาพที่ 1 ห้องในคฤหาสน์ตระกูลคาตาคุระ (Katakura Residence) จำลอง
ในปลายยุคเซ็นโกคุ (Sengoku period, ราว 1467 – 1603 ช่วงที่ญี่ปุ่นมีความไม่สงบและเกิดสงครามระหว่างแคว้นต่าง ๆ) คาตาคุระ โคจูโร่ (Katakura Kojuro) หัวหน้าตระกูลคาตาคุระ (Katakura clan) มีตำแหน่งเป็นมือขวาคนสำคัญของดาเตะ มาซามุเนะ (Date Masamune) เจ้าของฉายา 'มังกรตาเดียวแห่งโอชู' ผู้ก่อตั้งแคว้นเซ็นได (Sendai ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดมิยางิ ภูมิภาคโทโฮคุในปัจจุบัน) คาตาคุระ โคจูโร่ได้รับปราสาทชิโรอิชิ (Shiroishi Castle) และอาศัยอยู่ในโทโฮคุเช่นเดียวกัน แต่การเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาลโชกุนโทกุงาวะ (Tokugawa Shogunate ปี 1603 ถึง 1868) ที่มีอิทธิพลตลอดสมัยเอโดะกลับคืนอำนาจสู่จักรพรรดิในการปฏิรูปเมจิทำให้พวกเขาต้องย้ายไปตั้งรกรากที่ฮอกไกโดแทน ในยุคเมจิ (Meiji period, 1868-1912) ตระกูลคาตาคุระ (Katakura clan) ได้เข้ามาพัฒนาเมืองโนโบริเบ็ทสึ โดยมีความฝันที่จะฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาของเซ็นได ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการขนานนามว่าเป็น 'เอโดะแห่งทางเหนือ (Northern Edo)' และกลายเป็นแรงบันดาลใจทำให้เกิดธีมปาร์คแห่งนี้ขึ้น
ไปสำรวจข้างในกันดีกว่า! หลังผ่านทางเข้าที่พนักงานในชุดย้อนยุคทำหน้าที่ตรวจบัตรเข้าชมอย่างขึงขังแล้วก็พบกับถนนสายการค้าที่จำลองร้านรวงต่างๆ ทั้งขายอาหาร ขนม ของฝาก บ้างก็เป็นซุ้มกิจกรรมปาเป้า หรือระบายสีตุ๊กตาไม้โคเคชิ (Kokeshi doll) หากใครอยากแต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศก็สามารถเช่าชุดได้จากร้านค้าย่านนี้
ภาพที่ 2 อาคารจำลองสำนักศึกษา (เทราโกะยะ, Terakoya)
ถัดมามีอาคารสำนักศึกษาที่มีชายหนุ่มกำลังซ้อมยิงธนูอยู่ภายในดูท่าทางทะมัดทะแมงเท่มาก บนแผ่นพับระบุว่าจุดนี้คือ 'Education Hall' เมื่อเอาตัวคันจิไปสืบค้นต่อก็พบเรื่องที่น่าสนใจว่า ในสมัยเอโดะมีโรงเรียนสำหรับชาวบ้านที่เรียกว่า 'เทราโกะยะ (Terakoya)' กระจายอยู่ทั่วไป สอนการอ่านเขียน และการดีดลูกคิดเพื่อตอบสนองการเพิ่มขึ้นของชนชั้นพ่อค้า ทำให้อัตราการรู้หนังสือของประชากรชาวเมืองเอโดะสูงถึง 60% สำหรับผู้ชาย และ 40% สำหรับผู้หญิง (Tsujimoto, 2000, p. 44-48)
พื้นที่ตั้งด้านในสุดของธีมปาร์คเป็น 'Katakura Residence' จำลองคฤหาสน์ตระกูลคาตาคุระ (ของจริงอยู่ที่เมืองชิโรอิชิ) นับเป็นจุดแรกของการเข้าชม แต่ไฮไลท์ที่ผู้เขียนสนใจมากเป็น 'พิพิธภัณฑ์ดาบคาตานะ (Katana Museum)' ที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมของผู้เขียนเมื่อหลายปีก่อนผ่านเกมวีดิโอที่ชื่อว่า 'Tokan Ranbu' ซึ่งมีการนำเรื่องราวของดาบญี่ปุ่นมาสร้างเป็นตัวละคร ทำให้เกิดปรากฏการณ์ 'ป่วยดาบ' กระตุ้นให้แฟนคลับผู้หญิงพากันไปชมดาบของจริงที่วางจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์กันอย่างคึกคัก อีกทั้งยังส่งแรงกระเพื่อมให้นักวาดชาวไทยออกโปรเจกต์ 'ตะพดร่ายรำ' ล้อเลียนเนื่องในวันเมษาหน้าโง่ (April fool's day) ด้วย
นับแต่นั้นมาทำให้ผู้เขียนอยากรู้เรื่องดาบคาตานะมากขึ้น ด้วยเหตุที่ว่า “การมีดาบดีสามารถเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตของเหล่าซามูไรในการสู้รบ” ภายในพิพิธภัณฑ์มีการเล่าเรื่องสายสกุลช่างตีดาบ ลักษณะของ
ใบดาบในยุคต่างๆ ชื่อเรียกส่วนต่างๆ ของใบดาบ ตั้งแต่ฐานใบดาบ (Habaki) ไปจนถึงรูปแบบกระบังมือ (Tsuba) เชือกพันด้ามจับดาบ (Tsuka) และฝักดาบ (Saya) นอกจากองค์ประกอบของดาบที่มีรายละเอียดมากมายแล้ว
ขั้นตอนการตีดาบก็เช่นเดียวกัน เริ่มตั้งแต่การนำแร่เหล็กบริสุทธิ์มาเผาในเตาหลอม 3 วัน 3 คืน แล้วนำมาประกอบ ตีซ้ำๆ จนขึ้นเป็นรูปร่างใบดาบ ปรับแต่งความโค้ง จากนั้นค่อยส่งไปให้ช่างขัดเงาทำงานต่อ ข้อมูลความรู้พื้นฐานเหล่านี้ทำให้การได้ดูดาบของจริงสนุกขึ้นมาก
ภาพที่ 3 สวนหินสไตล์โฮไร (Horai garden)
ด้านหน้าคฤหาสน์เป็นสวนหินที่มีชื่อเฉพาะว่า 'คาเรซันซุย (Karesansui)' เนื่องจากใช้ทราย และการจัดวางหินเพื่อสื่อถึงภูเขาและแม่น้ำ หรือ 'สวนเซน' ที่คุ้นเคยกันดี อย่างไรก็ตาม สวนนี้ไม่ได้ต้องการนำเสนอความเรียบง่ายตามวิถีเซน หากแต่ก้อนหินได้ถูกจัดวางไว้เป็นตัวแทนสื่อถึงเกาะโฮไร (Horai) /เผิงไหล (Penglai)
เกาะโฮโจ (Hojo)/ฟางหู (Fanghu) และเกาะเอชู (Eishu)/อิ๋งโจว (Yingzhou) ที่เชื่อกันว่ามีเหล่าเซียน (Sennin ในภาษาญี่ปุ่น) หรือผู้มีชีวิตเป็นอมตะอาศัยอยู่ ตลอดจนการเสาะหายาอายุวัฒนะในตำนาน การบรรลุเป็นเทพเซียน พร้อมกับสร้างสะพานขึ้นสู่สวรรค์ (Ama-no-Hashidate) ไว้ในสวนด้วย ซึ่งเป็นอิทธิพลความเชื่อที่รับมาจากจีน และกลายมาเป็นสวนหินสไตล์โฮไร (Horai garden) อย่างที่เห็น
อีกจุดหนึ่งในธีมปาร์คที่ผู้เขียนชื่นชอบมากเป็นบริเวณสวนที่มีศาลา และสะพานแดง เรียกว่า 'นากายะ (Nagaya)' ซึ่งเป็นลักษณะที่อยู่อาศัยประเภทหนึ่งในยุคเอโดะที่สะท้อนความแตกต่างสถานะทางสังคม ดังเช่น
ไดเมียวมีปราสาท ซามูไรชั้นสูงมีคฤหาสน์ (บูเคยาชิกิ, Bukeyashiki) พ่อค้ามีบ้านพร้อมหน้าร้านในตัว (มาจิยะ, Machiya) ในขณะที่นากายะมีลักษณะเป็นเพียงห้องแถวเล็กๆ ขนาด 4.5 เสื่อ (7.29 ตารางเมตร) สำหรับชาวบ้านทั่วไปไว้ซุกหัวนอน คล้ายกับตึกแถวในไทยที่มีการใช้ผนังร่วมกัน เพียงแต่นากายะสร้างด้วยไม้ และสูง 1-2 ชั้นเท่านั้น ด้วยขนาดห้องที่เล็กมาก จึงมีพื้นที่ส่วนกลางอย่างห้องน้ำ และบ่อน้ำไว้ให้ใช้ด้วยกัน
ภาพจำที่เห็นผ่านสื่อมักนำเสนอชะตาอันอาภัพของหญิงนางโลมย่านเริงรมย์ หรือการชิงไหวชิงพริบ เกมการเมืองในคฤหาสน์ซามูไรที่ค่อนข้างห่างไกลจากชีวิตสามัญธรรมดาจนจินตนาการวิถีชีวิตในยุคนั้นไม่ออก ทว่าห้องแถวที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งชาวบ้าน A ชาวบ้าน B หลากหลายอาชีพกลับทำให้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกร่วมกับยุคสมัยนั้น และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนเลือกมาเยี่ยมชมที่นี่
ณ โซนห้องพักช่างไม้มีเรื่องเล่าว่าที่เอโดะเกิดไฟไหม้ขึ้นบ่อยมาก ฉะนั้นช่างไม้จึงกลายเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพนับถือของผู้คน มีเงินรายได้ทุกวันไม่ขาดมือ ซึ่งบริเวณด้านนอกนากายะก็มีการสร้างหอเฝ้าระวังไฟไหม้ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวได้ ราวกับเป็นเครื่องยืนยันว่าไฟไหม้เกิดขึ้นบ่อยมากจริงๆ โซนห้องพักช่างสักก็เล่าเรื่องว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ต้องเปลือยร่างกายท่อนบนขณะทำงานจะรู้สึกว่าการไม่มีรอยสักบนผิวหนังเป็นเรื่องน่าละอาย ด้วยรอยสักเป็นเครื่องแสดงถึงจิตวิญญาณของนักสู้ที่สามารถอดทนต่อสิ่งที่ไม่อาจทานทนได้ และมีเรื่องติดตลกว่าแท้จริงแล้วช่างสักเป็นช่างแกะสลักไม้แม่พิมพ์ภาพยูกิโยเอะที่รับงานสักเป็นอาชีพเสริม
ภาพที่ 4 หุ่นขี้ผึ้งช่างสักในตรอกนากายะ (Nagaya)
อีกโซนหนึ่งเป็นห้องพักของซามูไรไร้นายที่ต้องหันมาทำร่มหาเลี้ยงชีพแทน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปิดประเทศในยุคเอโดะ มีซามูไรจำนวนมากตกงานต้องผันตัวไปทำอาชีพอื่น หรือไม่ก็เป็นอาจารย์ประจำสำนักศึกษาแทน นอกจากนี้ยังมีโซนห้องพักบางห้องที่นำเสนอเรื่องชีวิตผู้หญิงที่ล้วนหาเลี้ยงชีพในหลากหลาย แง่มุม ไม่ว่าจะเป็นอาชีพช่างตัดเสื้อ ช่างทำผม ช่างทำเทียน หมอตำแย รวมไปถึงอาจารย์ในสำนักศึกษาได้เช่นกัน
โซนห้องพักของคนขายปลา และห้องคนขายเครื่องเทศก็ช่วยสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอาหารการกิน อย่างเช่น ผู้คนต้องซื้ออาหารกินมื้อต่อมื้อเพราะไม่มีเครื่องถนอมอาหาร คนขายหาบเร่เลยมีบทบาทสำคัญมากสำหรับปากท้องชาวเอโดะ และโซนที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว้าวที่สุดในโซนนากายะคือการรู้ว่าบ่อน้ำส่วนกลางไม่ได้ชักน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ แต่ส่งจากท่อส่งน้ำที่มีโครงข่ายการกระจายปริมาณน้ำให้เพียงพอกับการใช้น้ำของคนทั้ง
นครเอโดะจำนวนหลักล้านคน!
นอกเหนือจากโซนต่างๆ ที่ผู้เขียนเล่าไว้ข้างต้นแล้วยังมีโซนสนุกๆ อย่างวงกตนินจาที่จำลองกลไกห้องลับในปราสาท รวมถึงวัดแมวปีศาจ และบ้านภูตผีที่แฝงคติความเชื่อในชีวิตประจำวัน ตลอดจนจุดถ่ายรูป และฉากสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์อีกมากมาย น่าเสียดายที่ผู้เขียนเผื่อเวลาไว้น้อยเกินไปจึงพลาดการเก็บข้อมูลในส่วนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์คาตาคุระ และศูนย์ข้อมูลนินจาในครั้งนี้
ความรุ่มรวยทางศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนหลักปรัชญาที่สอดแทรกอยู่ในวิถีซามูไร การจัดสวน และภาพพิมพ์ยูกิโยเอะ ทำให้มหานครเอโดะยังคงมีชีวิตชีวาอยู่เสมอในใจของผู้คนที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่ชาวญี่ปุ่นเท่านั้น หากมองในแง่นี้ก็อาจนับได้ว่าตระกูลคาตาคุระทำความฝันสำเร็จแล้ว
หากใครสนใจมาเยี่ยมชมความมีชีวิตชีวาของ Noboribetsu Date Jidaimura สามารถนั่งรถไฟจากสถานีซัปโปโร (Sapporo) มาลงที่สถานีโนริเบ็ตสึ (Noboribetsu) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที แล้วเดินทางต่อด้วยแท็กซี่ หรือถ้าจะใช้บริการรถบัสต้องสังเกตให้ดี ด้วยรถบัสไม่ได้ผ่านธีมปาร์คทุกรอบ แต่ถึงตกรถรอบดังกล่าวก็ยังสามารถเดินเท้า 20 นาทีจากป้ายที่ใกล้ที่สุดไปได้ และแนะนำให้จัดสรรเวลาทั้งวัน เพื่อการชมได้ทั่วถึงและได้ดูโชว์ครบทุกจุดจะได้ไม่พลาดโอกาสอย่างผู้เขียน เตือนแล้วนะ!
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Tsujimoto, M. (2000, March/April). Maturing of Literate Society: Literacy and Education in the Edo Period (17th-19th century). Journal of Japanese Trade & Industry, 44-48. Retrieved from https://www.jef.or.jp/journal/pdf/unknown_0003.pdf