Museum Core
ชมสีสันของเอโดะแห่งแดนเหนือ ในธีมปาร์ค 'Noboribetsu Date Jidaimura'
Museum Core
23 ม.ค. 68 99
ประเทศญี่ปุ่น

ผู้เขียน : ศิรดา ชิตวัฒนานนท์

               ทุกคนต่างรู้กันดีว่าพิพิธภัณฑ์เป็นแหล่งความรู้ที่นำสิ่งของต่างๆ มาจัดแสดงพร้อมคำอธิบายประกอบ แม้พิพิธภัณฑ์หลายแห่งนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชม แต่ใครหลายคนก็ยังมีภาพจำของพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่แสนเคร่งขรึมจริงจัง แถมด้วยใบงานกิจกรรมเวลาโรงเรียนพาไปทัศนศึกษา ผู้เขียนจึงอยากชี้ชวนตัวเลือกใหม่ของแหล่งความรู้ในรูปแบบ 'ธีมปาร์ค'​ กันบ้าง

               'Noboribetsu Date Jidaimura'​ ในภูมิภาคฮอกไกโดเป็นชื่อธีมปาร์คที่จำลองบรรยากาศย้อนยุคสมัยเอโดะ (Edo period, 1603-1867) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุคสมัยที่มีชื่อเสียง และผู้คนต่างคุ้นเคยกับภาพพิมพ์แกะไม้ (Ukiyo-e)​ รูปคลื่นยักษ์ที่เป็นศิลปะระดับโลก รวมถึงย่านเริงรมย์โยชิวาระ (Yoshiwara)​ และกลุ่มซามูไรผู้พิทักษ์รัฐบาลโชกุน 'ชินเซ็นกุมิ (Shinsengumi)'​ ที่มักปรากฏในการ์ตูนมังงะ และอนิเมะหลายต่อหลายเรื่อง

               ความน่าสนใจของธีมปาร์คแห่งนี้เริ่มจากคำถามของผู้เขียนว่า 'ทำไมแหล่งออนเซ็นอย่างโนโบริเบ็ทสึ​จึงสร้างหมู่บ้านย้อนยุค และเหตุใดจึงเฉพาะเจาะจงเป็นยุคเอโดะ?'​ เมื่ออ่านข้อมูลจากแผ่นพับก็พบว่ามีเหตุผลเป็นความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์โดยแท้ ไม่ได้สุ่มเลือกยุคสมัยเพื่อสร้างความดึงดูดใจนักท่องเที่ยวแบบไร้แก่น

 

ภาพที่ 1 ห้องในคฤหาสน์ตระกูลคาตาคุระ (Katakura Residence) จำลอง

 

               ในปลายยุคเซ็นโกคุ (Sengoku period, ราว 1467 – 1603 ช่วงที่ญี่ปุ่นมีความไม่สงบและเกิดสงครามระหว่างแคว้นต่าง ๆ)​ คาตาคุระ โคจูโร่ (Katakura Kojuro)​ หัวหน้าตระกูลคาตาคุระ (Katakura clan)​  มีตำแหน่งเป็นมือขวาคนสำคัญของดาเตะ มาซามุเนะ (Date Masamune)​ เจ้าของฉายา 'มังกรตาเดียวแห่งโอชู'​ ผู้ก่อตั้งแคว้นเซ็นได (Sendai ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดมิยางิ ภูมิภาคโทโฮคุในปัจจุบัน)​ คาตาคุระ โคจูโร่ได้รับปราสาทชิโรอิชิ (Shiroishi Castle)​ และอาศัยอยู่ในโทโฮคุเช่นเดียวกัน แต่การเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาลโชกุนโทกุงาวะ (Tokugawa Shogunate ปี 1603 ถึง 1868)​ ที่มีอิทธิพลตลอดสมัยเอโดะกลับคืนอำนาจสู่จักรพรรดิในการปฏิรูปเมจิทำให้พวกเขาต้องย้ายไปตั้งรกรากที่ฮอกไกโดแทน ในยุคเมจิ (Meiji period, 1868-1912)​ ตระกูลคาตาคุระ (Katakura clan)​ ได้เข้ามาพัฒนาเมืองโนโบริเบ็ทสึ โดยมีความฝันที่จะฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาของเซ็นได ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการขนานนามว่าเป็น 'เอโดะแห่งทางเหนือ (Northern Edo)' และกลายเป็นแรงบันดาลใจทำให้เกิดธีมปาร์คแห่งนี้ขึ้น

               ไปสำรวจข้างในกันดีกว่า! หลังผ่านทางเข้าที่พนักงานในชุดย้อนยุคทำหน้าที่ตรวจบัตรเข้าชมอย่างขึงขังแล้วก็พบกับถนนสายการค้าที่จำลองร้านรวงต่างๆ ทั้งขายอาหาร ขนม ของฝาก บ้างก็เป็นซุ้มกิจกรรมปาเป้า หรือระบายสีตุ๊กตาไม้โคเคชิ (Kokeshi doll)​ หากใครอยากแต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศก็สามารถเช่าชุดได้จากร้านค้าย่านนี้

 

ภาพที่ 2 อาคารจำลองสำนักศึกษา (เทราโกะยะ, Terakoya)

 

               ถัดมามีอาคารสำนักศึกษาที่มีชายหนุ่มกำลังซ้อมยิงธนูอยู่ภายในดูท่าทางทะมัดทะแมงเท่มาก บนแผ่นพับระบุว่าจุดนี้คือ 'Education Hall'​ เมื่อเอาตัวคันจิไปสืบค้นต่อก็พบเรื่องที่น่าสนใจว่า ในสมัยเ​อ​โ​ด​ะ​มีโรงเรียนสำหรับชาวบ้านที่เรียกว่า 'เทราโกะยะ (Terakoya)​'​ กระจายอยู่ทั่วไป สอนการอ่านเขียน และการดีดลูกคิดเพื่อตอบสนองการเพิ่มขึ้นของชนชั้นพ่อค้า ทำให้อัตราการรู้หนังสือของประชากรชาวเมืองเอโดะสูงถึง 60% สำหรับผู้ชาย และ 40% สำหรับผู้หญิง (Tsujimoto, 2000, p. 44-48)

               พื้นที่ตั้งด้านในสุดของธีมปาร์คเป็น '​Katakura Residence'​ จำลองคฤหาสน์ตระกูลคาตาคุระ (ของจริงอยู่ที่เมืองชิโรอิชิ)​ นับเป็นจุดแรกของการเข้าชม แต่ไฮไลท์ที่ผู้เขียนสนใจมากเป็น 'พิพิธภัณฑ์ดาบคาตานะ (Katana Museum)​'​ ที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมของผู้เขียนเมื่อหลายปีก่อนผ่านเกมวีดิโอที่ชื่อว่า 'Tokan Ranbu'​ ซึ่งมีการนำเรื่องราวของดาบญี่ปุ่นมาสร้างเป็นตัวละคร ทำให้เกิดปรากฏการณ์ 'ป่วยดาบ' กระตุ้นให้แฟนคลับผู้หญิงพากันไป​ชมดาบของจริงที่วางจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์กันอย่างคึกคัก อีกทั้งยังส่งแรงกระเพื่อมให้นักวาดชาวไทยออกโปรเจกต์ 'ตะพดร่ายรำ'​ ล้อเลียนเนื่องในวันเมษาหน้าโง่ (April fool's day) ด้วย

               นับแต่นั้นมาทำให้ผู้เขียนอยากรู้เรื่องดาบคาตานะมากขึ้น ด้วยเหตุที่ว่า “การมีดาบดีสามารถเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตของเหล่าซามูไรในการสู้รบ” ภายในพิพิธภัณฑ์มีการเล่าเรื่องสายสกุลช่างตีดาบ ลักษณะของ
ใบดาบในยุคต่างๆ ชื่อเรียกส่วนต่างๆ ของใบดาบ ตั้งแต่ฐานใบดาบ (Habaki)​ ไปจนถึงรูปแบบกระบังมือ (Tsuba)​ เชือกพันด้ามจับดาบ (Tsuka)​ และฝักดาบ (Saya)​ นอกจากองค์ประกอบของดาบที่มีรายละเอียดมากมายแล้ว
ขั้นตอนการตีดาบก็เช่นเดียวกัน เริ่มตั้งแต่การนำแร่เหล็กบริสุทธิ์มาเผาในเตาหลอม 3 วัน 3 คืน แล้วนำมาประกอบ ตีซ้ำๆ จนขึ้นเป็นรูปร่างใบดาบ ปรับแต่งความโค้ง จากนั้นค่อยส่งไปให้ช่างขัดเงาทำงานต่อ ข้อมูลความรู้พื้นฐานเหล่านี้ทำให้การได้ดูดาบของจริงสนุกขึ้นมาก

 

ภาพที่ 3 สวนหินสไตล์โฮไร (Horai garden)​

 

               ด้านหน้าคฤหาสน์เป็นสวนหินที่มีชื่อเฉพาะว่า 'คาเรซันซุย (Karesansui)'​ เนื่องจากใช้ทราย และการจัดวางหินเพื่อสื่อถึงภูเขาและแม่น้ำ หรือ 'สวนเซน' ที่คุ้นเคยกันดี อย่างไรก็ตาม สวนนี้ไม่ได้ต้องการนำเสนอความเรียบง่ายตามวิถีเซน หากแต่ก้อนหินได้ถูกจัดวางไว้เป็นตัวแทนสื่อถึงเกาะโฮไร (Horai) /เผิงไหล (Penglai)​
เกาะโฮโจ (Hojo)​/ฟางหู (Fanghu)​ และเกาะเอชู (Eishu)​/อิ๋งโจว (Yingzhou)​ ที่เชื่อกันว่ามีเหล่าเซียน (Sennin ในภาษาญี่ปุ่น)​ หรือผู้มีชีวิตเป็นอมตะอาศัยอยู่ ตลอดจนการเสาะหายาอายุวัฒนะในตำนาน การบรรลุเป็นเทพเซียน พร้อมกับสร้างสะพานขึ้นสู่สวรรค์ (Ama-no-Hashidate)​ ไว้ในสวนด้วย ซึ่งเป็นอิทธิพลความเชื่อที่รับมาจากจีน และกลายมาเป็นสวนหินสไตล์โฮไร (Horai garden)​ อย่างที่เห็น

               อีกจุดหนึ่งในธีมปาร์คที่ผู้เขียนชื่นชอบมากเป็นบริเวณสวนที่มีศาลา และสะพานแดง เรียกว่า 'นากายะ (Nagaya)'​ ซึ่งเป็นลักษณะที่อยู่อาศัยประเภทหนึ่งในยุคเอโดะที่สะท้อนความแตกต่างสถานะทางสังคม ดังเช่น
ไดเมียวมีปราสาท ซามูไรชั้นสูงมีคฤหาสน์ (บูเคยาชิกิ, Bukeyashiki)​ พ่อค้ามีบ้านพร้อมหน้าร้านในตัว (มาจิยะ, Machiya)​ ในขณะที่นากายะมีลักษณะเป็นเพียงห้องแถวเล็กๆ ขนาด 4.5 เสื่อ (7.29 ตารางเมตร)​ สำหรับชาวบ้านทั่วไปไว้ซุกหัวนอน คล้ายกับตึกแถวในไทยที่มีการใช้ผนังร่วมกัน เพียงแต่นากายะสร้างด้วยไม้ และสูง 1-2 ชั้น​เท่านั้น ด้วยขนาดห้องที่เล็กมาก จึงมีพื้นที่ส่วนกลางอย่างห้องน้ำ และบ่อน้ำไว้ให้ใช้ด้วยกัน

               ภาพจำที่เห็นผ่านสื่อมักนำเสนอชะตาอันอาภัพของหญิงนางโลมย่านเริงรมย์ หรือการชิงไหวชิงพริบ เกมการเมืองในคฤหาสน์ซามูไรที่ค่อนข้างห่างไกลจากชีวิตสามัญธรรมดาจนจินตนาการวิถีชีวิตในยุคนั้นไม่ออก ทว่าห้องแถวที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งชาวบ้าน A ชาวบ้าน B หลากหลายอาชีพกลับทำให้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกร่วมกับยุคสมัยนั้น และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนเลือกมาเยี่ยมชมที่นี่

               ณ โซนห้องพักช่างไม้มีเรื่องเล่าว่าที่เอโดะเกิดไฟไหม้ขึ้นบ่อยมาก ฉะนั้นช่างไม้จึงกลายเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพนับถือของผู้คน มีเงินรายได้ทุกวันไม่ขาดมือ ซึ่งบริเวณด้านนอกนากายะก็มีการสร้างหอเฝ้าระวังไฟไหม้ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวได้ ราวกับเป็นเครื่องยืนยันว่าไฟไหม้เกิดขึ้นบ่อยมากจริงๆ โซนห้องพักช่างสักก็เล่าเรื่องว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ต้องเปลือยร่างกายท่อนบนขณะทำงานจะรู้สึกว่าการไม่มีรอยสักบนผิวหนังเป็นเรื่องน่าละอาย ด้วยรอยสักเป็นเครื่องแสดงถึงจิตวิญญาณของนักสู้ที่สามารถอดทนต่อสิ่งที่ไม่อาจทานทนได้ และมีเรื่องติดตลกว่าแท้จริงแล้วช่างสักเป็นช่างแกะสลักไม้แม่พิมพ์ภาพยูกิโยเอะที่รับงานสักเป็นอาชีพเสริม

 

ภาพที่ 4 หุ่นขี้ผึ้งช่างสักในตรอกนากายะ (Nagaya)

 

               อีกโซนหนึ่งเป็นห้องพักของซามูไรไร้นายที่ต้องหันมาทำร่มหาเลี้ยงชีพแทน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปิดประเทศในยุคเอโดะ มีซามูไรจำนวนมากตกงานต้องผันตัวไปทำอาชีพอื่น หรือไม่ก็เป็นอาจารย์ประจำสำนักศึกษาแทน นอกจากนี้ยังมีโซนห้องพักบางห้องที่นำเสนอเรื่องชีวิตผู้หญิงที่ล้วนหาเลี้ยงชีพในหลากหลาย แง่มุม ไม่ว่าจะเป็นอาชีพช่างตัดเสื้อ ช่างทำผม ช่างทำเทียน หมอตำแย รวมไปถึงอาจารย์ในสำนักศึกษาได้เช่นกัน

               โซนห้องพักของคนขายปลา และห้องคนขายเครื่องเทศก็ช่วยสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอาหารการกิน อย่างเช่น ผู้คนต้องซื้ออาหารกินมื้อต่อมื้อเพราะไม่มีเครื่องถนอมอาหาร คนขายหาบเร่เลยมีบทบาทสำคัญมากสำหรับปากท้องชาวเอโดะ และโซนที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว้าวที่สุดในโซนนากายะคือการรู้ว่าบ่อน้ำส่วนกลางไม่ได้ชักน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ แต่ส่งจากท่อส่งน้ำที่มีโครงข่ายการกระจายปริมาณน้ำให้เพียงพอกับการใช้น้ำของคนทั้ง
นครเอโดะจำนวนหลักล้านคน! 

               นอกเหนือจากโซนต่างๆ ที่ผู้เขียนเล่าไว้ข้างต้นแล้วยังมีโซนสนุกๆ อย่างวงกตนินจาที่จำลองกลไกห้องลับในปราสาท รวมถึงวัดแมวปีศาจ และบ้านภูตผีที่แฝงคติความเชื่อในชีวิตประจำวัน ตลอดจนจุดถ่ายรูป และฉากสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์อีกมากมาย น่าเสียดายที่ผู้เขียนเผื่อเวลาไว้น้อยเกินไปจึงพลาดการเก็บข้อมูลในส่วนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์คาตาคุระ และศูนย์ข้อมูลนินจาในครั้งนี้

               ความรุ่มรวยทางศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนหลักปรัชญาที่สอดแทรกอยู่ในวิถีซามูไร การจัดสวน และภาพพิมพ์ยูกิโยเอะ ทำให้มหานครเอโดะยังคงมีชีวิตชีวาอยู่เสมอในใจของผู้คนที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่ชาวญี่ปุ่นเท่านั้น หากมองในแง่นี้ก็อาจนับได้ว่าตระกูลคาตาคุระทำความฝันสำเร็จแล้ว 

               หากใครสนใจมาเยี่ยมชมความมีชีวิตชีวาของ Noboribetsu Date Jidaimura สามารถนั่งรถไฟจากสถานีซัปโปโร (Sapporo) มาลงที่สถานีโนริเบ็ตสึ (Noboribetsu) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที แล้วเดินทางต่อด้วยแท็กซี่ หรือถ้าจะใช้บริการรถบัสต้องสังเกตให้ดี ด้วยรถบัสไม่ได้ผ่านธีมปาร์คทุกรอบ แต่ถึงตกรถรอบดังกล่าวก็ยังสามารถเดินเท้า 20 นาทีจากป้ายที่ใกล้ที่สุดไปได้ และแนะนำให้จัดสรรเวลาทั้งวัน เพื่อการชมได้ทั่วถึงและได้ดูโชว์ครบทุกจุดจะได้ไม่พลาดโอกาสอย่างผู้เขียน เตือนแล้วนะ! 

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

Tsujimoto, M. (2000, March/April). Maturing of Literate Society: Literacy and Education in the Edo Period (17th-19th century). Journal of Japanese Trade &​ Industry, 44-48. Retrieved from https://www.jef.or.jp/journal/pdf/unknown_0003.pdf

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ