Museum Core
เจ. ซี. เดเนียล: จากผู้บุกเบิกวงการหนังมัลยลัม สู่จุบจบโศกนาฏกรรมชีวิต
Museum Core
15 ส.ค. 65 933

ผู้เขียน : กฤษณรัตน์ รัตนพงศ์ภิญโญ

          เชื่อว่าช่วงที่ผ่านมา คงไม่มีใครในเมืองไทยไม่คุ้นหูกับชื่อ คังคุไบ (Gangubai) ภาพยนตร์บอลลีวู้ดที่ออกฉายในเน็ตฟลิกซ์ นักวิจารณ์หนังมากมายถึงกับกล่าวขวัญว่า คังคุไบถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ที่ทรงพลังที่สุดของอินเดียในปี ค.ศ. 2022 แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า นอกจากบอลลีวู้ด (Bollywood) ซึ่งหมายถึงวงการภาพยนตร์ภาษาฮินดีแล้ว ยังมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ท้องถิ่นอีกมากมายในอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นตอลลีวู้ด (Tollywood) หนังภาษาเตลูกู (Telugu) กอลลีวู้ด (Kollywood) หนังภาษาทมิฬ แซนดัลวู้ด (Sandalwood) หนังภาษากันนฑะ (Kannada) เป็นต้น ในปีหนึ่งๆ อินเดียผลิตภาพยนตร์มากกว่าหนึ่งพันเรื่องในภาษาที่แตกต่าง และในวันนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับจุดเริ่มต้นของมอลลีวู้ด (Mollywood) วงการภาพยนตร์ภาษามัลยลัม (Malayalam) แห่งรัฐเกรละ แม้ว่ามอลลีวู้ดจะเป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลในปัจจุบัน แต่บิดาผู้ริเริ่มการทำหนังมัลยลัมกลับถูกโชคชะตาเล่นตลกจนชีวิตพลิกผัน เรื่องราวความฝันและความทะเยอทะยานของเขาผู้นี้จะจบลงอย่างแสนสุขหรือทุกข์ตรมนั้น เราจะมารับชมไปพร้อมๆ กัน

 

         บิดาแห่งวงการหนังมัลยลัมมีนามว่า โจเซฟ เชลไลยา เดเนียล นาดาร์ (Joseph Chellayya Daniel Nadar) หรือชื่อในวงการว่าเจ. ซี. เดเนียล (J. C. Daniel) เขาเกิดในครอบครัวชาวคริสต์ที่ตระวันโกร์ (Travancore) รัฐมหาราชาใต้สุดของชมพูทวีปในปีค.ศ. 1900 เดเนียลในวัยเยาว์ชื่นชอบกะละรีปายัฏฏุ (Kalaripayattu) ศิลปะการต่อสู้ของชาวมัลยลี (Malayali) เป็นอย่างมาก เพราะต้องการเผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่นให้ชาวโลกได้รับรู้ เดเนียลจึงตีพิมพ์หนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับกะละรีปายัฏฏุ อย่างไรก็ตาม เดเนียลตระหนักว่าสิ่งพิมพ์ไม่ใช่สื่อที่จะเข้าถึงคนหมู่มากในคราวเดียว และในปีค.ศ. 1917 หลังจากที่เด็กหนุ่มมัลยลีได้รู้จักกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรก เดเนียลก็ต้องการทำหนังของตัวเองเพื่อเป็นถ่ายทอดความคิดของตนกับผู้ชม

 

 

ภาพที่ 1 เจ. ซี. เดเนียล บิดาแห่งวงการหนังมัลยลัม

แหล่งที่มาภาพ: http://messierbooks.blogspot.com/2014/07/dr-j-c-daniel-father-of-malayalam.html

 

 

          ครั้นคิดได้ดังนั้น เดเนียลจึงเดินทางไปยังมัทราส (Madras) เพื่อศึกษาการทำหนัง ทว่าเขากลับถูกกีดกันไม่ให้เข้าใกล้สถานที่ถ่ายทำ แต่เดเนียลก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เขาออกจากมัทราสเพื่อเดินทางต่อไปยังบอมเบย์ (Bombay) ศูนย์กลางภาพยนตร์อินเดียในตอนนั้น เดเนียลเรียนรู้จากความผิดพลาดที่มัทราส เมื่อไปถึงกองถ่ายในบอมเบย์ เขาแนะนำตัวกับผู้กำกับว่าตัวเองเป็นคุณครูที่ต้องการศึกษาขั้นตอนการทำหนังเพื่อนำไปสอนนักเรียน อุบายของเดเนียลใช้ได้ผล ผู้กำกับในบอมเบย์อธิบายวิธีถ่ายทำและตัดต่ออย่างหมดเปลือก รวมทั้งยอมขายอุปกรณ์ถ่ายทำให้เดเนียลในราคาถูก เขาจึงเดินทางกลับตระวันโกร์ด้วยความหวังเต็มหัวใจ

 

          ในปีค.ศ. 1926 เดเนียลได้ก่อตั้งสตูดิโอของตัวเองโดยให้ชื่อว่า ตระวันโกร์เนชันแนลพิกเจอร์ (The Travancore National Pictures) แต่แม้จะมีอุปกรณ์พรักพร้อม การทำหนังเรื่องหนึ่งๆ ก็ต้องใช้เงินทุนมหาศาล เดเนียลจึงขายที่ดินของตระกูลนับร้อยไร่ รวมถึงเครื่องประดับของภรรยาจนได้เงินทุนมาราว 4 แสนรูปี ชายหนุ่มใช้เวลาหลังจากนั้นในการเขียนบทหนัง ในที่สุดบทประพันธ์ของเขาก็เสร็จสมบูรณ์ เดเนียลให้ชื่อหนังเรื่องแรกว่า วิคะทะกุมารัน (Vigathakumaran) ที่แปลว่า เด็กชายที่สาบสูญ ในภาษามัลยลัม

 

ภาพที่ 2 ฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องวิคะทะกุมารัน

แหล่งที่มาภาพ: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Vigathakumaran.jpg

 

          วิคะทะกุมารันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบุตรชายของครอบครัวมั่งคั่งที่ถูกลักพาตัวไปยังเกาะซีลอน เขาต้องเผชิญอุปสรรคนานัปการ จนในที่สุดก็ได้กลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัวอีกครั้ง เดเนียลตั้งใจว่าตัวเองและบุตรชายจะแสดงบทนำ แต่เขาก็ยังต้องหนักอกในการตามหาดาราหญิง ภาพยนตร์อินเดียในสมัยนั้นแทบไม่มีนักแสดงหญิงในเรื่อง อย่างดีก็แค่ให้ดาราชายมารับบทสตรีเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากการปรากฏตัวของสตรีในจอหนังถูกเหยียดหยามว่าต้อยต่ำยิ่งกว่าโสเภณี แต่เดเนียลก็ไม่ยอมแพ้ เขาต้องการผู้หญิงที่เพียบพร้อมมาแสดงหนังของตน คำภาวนาของเดเนียลเป็นจริงในปี 1928 เมื่อเขาได้พบกับราจัมมา (Rajamma) สตรีจากชุมชนปุลัยยาร์ (Pulayyar) ที่ชื่นชอบการร้องรำเป็นชีวิตจิตใจ แม้จะมีสถานะเป็นดาลิต (Dalit) หรือคนนอกวรรณะ แต่เดเนียลก็ไม่เห็นว่ามีใครเหมาะสมกับบทนางเอกยิ่งกว่าราจัมมา เขาทาบทามให้หล่อนมารับบทสตรีนายาร์ (Nair) ในวิคะทะกุมารัน ราจัมมาจึงใช้ชื่อในวงการว่าพี. เค. โรซี (P. K. Rosy) ในตอนนั้น

 

          การถ่ายทำหลังจากนั้นเป็นไปอย่างราบลื่น เดเนียลเป็นทั้งผู้กำกับ นักแสดงนำ และคนตัดต่อ เขาทำงานด้วยใจรักจนกระทั่งภาพยนตร์เสร็จสมบูรณ์ เดเนียลประกาศฉายวิคะทะกุมารันรอบปฐมทัศน์ในหนังสือพิมพ์เกรละทุกฉบับ ทว่าอุปสรรคไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ก่อนภาพยนตร์จะถูกฉาย มัลลูร์ โควินท์ ปิลไล (Malloor Govinda Pillai) ผู้ทรงอิทธิพลที่เดเนียลเชิญให้มาเปิดงานปฏิเสธที่จะทำหน้าที่หากสตรีดาลิตอย่างโรซีเข้ามานั่งในโรงหนังกับตน เพราะไม่อาจทนกระแสต่อต้าน เดเนียลจึงจำใจห้ามไม่ให้โรซีเข้าชมหนังของตัวเอง

 

 

ภาพที่ 3 ประกาศฉายวิคะทะกุมารันรอบปฐมทัศน์

แหล่งที่มาภาพ: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Vigathakumaran_Invitation_Letter.jpg

 

 

          วิคะทะกุมารันเปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1928 ที่โรงละครแคปิตอล (Capitol Theatre) ในติรุวะนันตปุรัม (Thiruvananthapuram) เดเนียลคาดหวังว่าเสียงตอบรับของผู้ชมจะเป็นไปด้วยดี ทว่าเขากลับต้องเผชิญความเกรี้ยวกราดของฝูงชนอย่างไม่คาดคิด ผู้ชมมากมายรับไม่ได้ที่สตรีนอกวรรณะอย่างโรซีแสดงบทบาทหญิงวรรณะกษัตริย์ พวกเขาขว้างปาก้อนหินใส่ผ้าใบฉายหนังจนเสียหาย ฝูงชนที่บันดาลโทสะพากันกลุ้มรุมทำร้ายผู้กำกับ ส่งผลให้เดเนียลต้องหนีไปหลบในห้องฉายหนังเพื่อรอให้เหตุการณ์สงบลง

 

          หลังจากหายนะในครั้งนั้น เดเนียลยังคงพยายามนำวิคะทะกุมารันออกฉายตามเมืองใหญ่ เขานำหนังไปฉายที่อาเลปปี (Alleppy) โกลลัม (Kollam) ตริศศูร์ (Thrissur) ตาลาเซรี (Thalassery) และนครโกวิล (Nagercoil) แม้จะมีผู้ชมที่ชื่นชอบหนังของเขา แต่วิคะทะกุมารันกลับไม่อาจทำรายได้ตามที่เดเนียลคาดหวังไว้ ภาพยนตร์ส่วนมากในสมัยนั้นเป็นเรื่องราวในมหากาพย์และคัมภีร์ปุราณะ เนื่องจากผู้ชนคุ้นเคยกับนาฏกรรมท้องถิ่นมากกว่าหนังสไตล์ตะวันตก ภาพยนตร์สะท้อนสังคมของเดเนียลจึงถือเป็นของแปลกใหม่ในตอนนั้น ทว่าเมื่อไม่อาจเข้าถึงผู้ชม หนังของเขาจึงขาดทุนย่อยยับจนนำไปสู่จุดเปลี่ยนชีวิตในเวลาต่อมา

 

          เดเนียลแทบล้มละลายหลังการทำหนังครั้งแรก เขาต้องขายอุปกรณ์ถ่ายทำทั้งหมดในราคาต่ำกว่าทุนเพื่อใช้หนี้ ทว่าไม่เพียงแต่เดเนียลที่เผชิญปัญหาเท่านั้น นักแสดงอย่างโรซีก็ประสบชะตาไม่แตกต่าง ชาวฮินดูหัวรุนแรงรวมตัวกันเผากระท่อมหล่อนจนวอดวาย โรซีต้องหนีตายออกจากเกรละไปอาศัยในทมิฬนาฑู หล่อนเปลี่ยนชื่อเป็นราจัมมัล (Rajammal) และไม่เคยปริปากพูดถึงอาชีพนักแสดงจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต

 

          สำหรับเดเนียล เขาจำใจต้องละทิ้งความฝัน เดเนียลเดินทางไปเชนไนเพื่อศึกษาวิชาทันตแพทย์ เขาและครอบครัวย้ายไปอาศัยในปาลยัมโกตเต (Palayamkottai) ที่ทมิฬนาฑู เช่นเดียวกับโรซี เดเนียลใช้ชีวิตในฐานะทันตแพทย์โดยไม่ยอมเอ่ยถึงหนังของตน การณ์ดำเนินไปดังนั้นจนกระทั่งในปี 1960 ขณะใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างยากจนกับภรรยาที่กันยากุมารี (Kanyakumari) เดเนียลพยายามยื่นเรื่องขอรับเงินช่วยเหลือในฐานะศิลปินปลดเกษียณกับทางการเกรละ ทว่าเจ้าหน้าที่กลับปฏิเสธคำขอของเดเนียล เนื่องจากตริวันโกร์ บ้านเกิดของเขาถูกแบ่งแยกเป็นรัฐทมิฬนาฑูและเกรละในทศวรรษที่ 1950 แม้จะเป็นชาวมัลยลีโดยกำเนิด แต่สถานที่เกิดของเดเนียลกลับอยู่ในเขตทมิฬนาฑู เคราะห์ดีที่ไม่นานหลังจากนั้น โคปาลกฤษณัน (Gopalakrishnan) นักข่าววงการบันเทิงชื่อดังบังเอิญเจอประกาศฉายวิคะทะกุมารันในหนังสือพิมพ์เก่า โคปาลกฤษณันที่กำลังมองหาจุดกำเนิดหนังมัลยลัมสืบสาวมาถึงตัวเดเนียลในที่สุด และแล้ว 3 ทศวรรษหลังจากที่หนังของเขาได้เข้าฉาย เดเนียลก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้เมื่อชีวิตใกล้ถึงฝั่ง เดเนียลจึงได้รับการยกย่องในฐานะบิดาแห่งวงการ
หนังมัลยลัม หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนมานานปี

 

          เดเนียลเสียชีวิตที่กันยากุมารีในปีค.ศ. 1975 ป้ายหลุมศพของเขาระบุว่าเป็นบิดาแห่งวงการหนังมัลยลัม และในปีค.ศ. 1992 ครอบครัวของเดเนียลและรัฐบาลเกรละก็ริเริ่มการมอบรางวัลรางวัลเจ. ซี. เดเนียล (J. C. Daniel Award) ให้กับภาพยนตร์มอลลีวู้ดที่ดีที่สุดในปีนั้นๆ น่าเสียดายที่แม้ว่าเขามีทั้งความสามารถและวิสัยทัศน์ แต่เดเนียลกลับต้องเผชิญอุปสรรคนานัปการที่เกิดจากอคติของผู้คนร่วมสมัย แตกต่างจากผาลเก (Phalke) และมุทลียาร์ (Mudaliar) บิดาแห่งวงการหนังฮินดีและทมิฬที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นเหลือ เดเนียลกลับสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะความฝันในการทำหนังสักเรื่อง อย่างไรก็ตาม แม้สำเนาภาพยนตร์วิคะทะกุมารันจะสาบสูญ แต่เดเนียลและหนังของเขายังคงถูกจดจำตลอดไป ในฐานะภาพยนตร์เรื่องแรกของเกรละ และผู้กำกับที่ไม่เคยละทิ้งความฝันของตัวเอง

 

แหล่งค้นคว้าอ้างอิง

 

Chathoth, Vidya. Reel to Real: The mind, through the lens of Malayalam cinema. Chennai: Notion

Press Publishing, 2016.

 

Pillai, Meena T.. Women in Malayalam Cinema. Hyderabad: Orient Blackswan, 2010.

 

Pradeep, K. and Kumar S. Rajesh. Spatial Practices of Women in India, Malayalam,

Adoorgopalakrishnan’s Films, International Journal of Multidisciplinary Educational Research, Vol.9 Issue 2 (1): 105 – 115. Visakhapatnam: Hapatia Press, 2020.

 

กฤษณรัตน์ รัตนพงศ์ภิญโญ

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ