Muse Mag
Muse Idol : Season Five (Part 2) จากงานอดิเรกสู่ชีวิตจริง
Muse Mag
01 พ.ย. 61 271K

ผู้เขียน : Administrator

เล่าจุดเปลี่ยน จากงานอดิเรกสู่ชีวิตจริง (Part2)

อ่าน Part 1 : จุดเริ่มต้น เพื่อนกันมันส์ยกแกงค์
https://www.museumsiam.org/da-detail.php?MID=3&CID=12&CONID=3335&SCID=259

 

เจ : คนจะรู้จักเราตอนที่เพลงเราดังแล้ว นั่นคือเพลงพูดไม่คิด ก่อนพูดไม่คิด ชีวิตมันยาวนานเป็น 10 ปี ที่เราสู้เรื่องนี้กัน เคยออกมา 1 อัลบั้ม เราเคยเดินเข้าค่ายหลายค่ายแล้วก็ต้องออกมา ทั้งฉีกสัญญาก็มี ทั้งค่ายปิดตัวไปก่อนก็มี คือหลายค่ายมาก ไม่ใช่เป็นเพราะเราเลย แต่เป็นเพราะค่ายดองบ้าง สุดท้ายก็ไม่มีค่ายแล้วบ้าง ก็จะเป็นเรื่องของค่าย ที่ไม่พร้อมที่จะลุยไปกับเรา ซึ่งเราพร้อมทุกครั้ง 

 

จั๊ก : ต้องบอกว่ามันเป็นด้วยวัยด้วย ตอนนั้นยังเป็นศิลปินที่เราขายที่ความสามารถแต่ยังไม่สามารถจะเป็น producer ตัวเองได้ หรือทำอะไรได้ เพราะฉะนั้นเราก็ยังต้องพึงพาคนอื่นอยู่ แต่คนที่ตอนนั้นเห็นแล้วก็อ้าแขนรับเราโดยที่ไม่ได้รังเกียจอะไรคือพี่ตี๋ พี่ตี๋ถามว่าเขาก็กล้ามากที่จะรับเรา เขาทำสายโฆษณามา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเพลงเลย เพราะฉะนั้นวิธีการคิดของเขาก็เลยคิดแบบคนทำโฆษณา เขาก็จ่ายเงินไปมหาศาล ทั้งที่เขาก็ไม่ได้กลับมาเท่าไหร่ เพราะว่าสุดท้ายแล้ว เรื่องของเพลง เพราะว่าเพลงมันไม่ success เขาก็ไม่ได้ได้อะไร เขาไม่ได้อะไร เราเองเราก็ไม่ได้ได้อะไรด้วยตอนนั้น เพราะว่าด้วยความที่เป็นเด็กเราก็จะไม่ได้รู้ระบบที่เราควรจะได้ ค่าตอบแทน ก็ไม่รู้เราก็แค่ทำไป แต่พี่ตี๋ก็ลงทุนให้ ให้เราได้มีโอกาสทำเพลง แล้วก็เป็นประสบการณ์ อัลบั้มแรกทำไปไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร แต่ว่าเราก็คิดว่าเราพอใจแล้ว เพราะว่าตลอดเวลาเราคุยกันมาเราอยากมีเพลงตัวเองแล้วเราได้มีแล้ว ได้มีอัลบั้มก็พอแล้ว แค่นี้แหละ ถึงวัยที่จะต้องทำงานต่อแล้ว ก็คิดว่าโชคชะตาเล่นตลกกับเราตลอดเวลา

 

 

            คืออุตส่าห์ได้ทำอัลบั้ม ปรากฏอัลบั้มไม่ดัง ก็ทำอะไรไม่ได้ กลับไปทุกคนวางแผนว่าทุกคนจะต้องไปหาเงินต่อแล้วนะไม่อย่างนั้นชีวิตจะดำเนินต่อไปไม่ได้ เดี๋ยวเรามาทำเพลงอีกสักเพลงหนึ่ง ลงเงินกัน ทำเพลงนั้น เหมือนเป็นทุนก้อนสุดท้ายแล้ว ขอสนุกอีกสัก 1 อัน แต่ตอนนั้นคิดว่าไม่ทำแล้ว คิดว่าเดี๋ยวจะกลับมาทำอาชีพของตัวเอง ทางใครทางมันแล้ว เหมือนเราก็อิ่มกับตรงนี้ ได้มาลองแล้ว ได้มารู้แล้ว ได้มามีเพลงของตัวเองแล้ว 

 

            บริษัทเขาไม่เอาด้วยแล้วนะ ทำ project นี้เจ๊ง ก็กลายเป็นว่าเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เจ๊งของพี่ตี๋ แต่เขาไม่ได้ว่าอะไรเรานะ เราก็ขอบคุณมากนะพี่ตี๋ แต่ถ้าพี่อยากทำ เพลงสุดท้ายแล้ว ตอนนั้นไม่ได้เงินอะไรแล้ว ก็ต้องเหมือนมาแชร์ๆ กัน เพลงสุดท้ายก็เริ่มทำ ก็ทำแตกมาจากอันเดิม แล้วเพลงนั้นคือเพลงพูดไม่คิด นั่นคือเพลงสุดท้ายของเรา แล้วเราก็เหมือนแบบ ต้องบอกว่าตอนที่เราทำแล้วมันไม่ success เราไม่รู้ระบบงานอะไรเกี่ยวกับการโชว์เลย เราไม่มีวง back up ด้วยซ้ำ ไม่มีอะไรเลย เพราะเราไม่ได้เคยไปโชว์ที่ไหน พอเพลงพูดไม่คิดผ่านไปได้หลายเดือนเหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็ได้ feed back ว่าเพลงนี้ไต่ chart ที่จังหวัดนู้นจังหวัดนี้ เริ่มงงแล้ว เพราะไม่เคยได้ประสบการณ์ของการไต่ chart เริ่มมีคนมาพูดถึงการจ้างงาน แม้แต่การโปรโมทนี่ผิดกันมาก เพราะว่าตอนเราทำอัลบั้มแรก พี่ตี๋ก็จ้างคนนู้นคนนี้มา พาไปคลื่นวิทยุนู้นคลื่นวิทยุนี้ เพลงพูดไม่คิดไม่ได้รับการโปรโมทแบบนั้นเลย ผมก็จำได้ว่าเราก็ขอเอกสารมาว่าตอนนั้นมีคลื่นอะไรบ้าง

 

 

เปา : แล้วก็ส่ง ส่งไปแล้วก็ ต้องเริ่มนั่งรออะไรไม่ได้ ต้องไปโปรโมทเอง ก็เลยขับรถไปกันเอง เจเป็นคนขับ 4 คนจัดกระเป๋าขึ้นเชียงใหม่เลย เพราะว่าตอนนั้นเชียงใหม่มันขึ้น chart ต้องบอกว่าถ้าเพลงในยุคนั้นจังหวัดที่ฟังเพลงจะมีพวกหัวเมืองเขาจะฟังเพลงแปลกๆ แล้วในเมื่อมีที่ขึ้น chart เราขึ้นไปลุยกันไหม ก็เอา CD ไปแจกตามร้านที่เชียงใหม่ แล้วก็ขอเขาเล่น วันนั้นมีกีตาร์โปร่งตัวเดียว แล้วขอเขาเล่นฟรี อินดี้มาก แล้วก็ไล่ลงมา พิษณุโลก แล้วก็กลับมารออีกเดือนกว่าๆ เริ่มมีงานจ้าง แต่ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์แล้วก็ไม่มีใครช่วยเลย และไม่มีเงินทุน เพราะการโชว์ของเราเป็นการโชว์ที่ประหลาดมาก เพราะมีกีตาร์โปร่งตัวเดียวไปโชว์ไม่มีวง back up คนก็ค่อนข้างตกใจเพราะว่าเพลงที่ออกไปมันก็เป็นเพลงไม่ค่อยหวือหวา เป็นโชว์ acoustic เพราะว่าเราตอนนั้นก็ยังไม่มีเงินที่จะจ้าง back up ด้วย ก็เป็นทั้งข้อดีแล้วก็ข้อเสีย มันทำให้คนไม่ได้เห็นเราแบบเวลาเต็มที่เท่าไหร่ แต่ก็เป็นประสบการณ์การเริ่มต้นที่เราก็ล้มลุกคลุกคลานมา จากเพลงนั้นก็ทำให้คนเริ่ม ค่ายเพลงก็กลับมาสนใจอีกครั้ง เขาก็มาจีบ แล้วเพลงสองเพลงสามก็ตามออกมาเรื่อยๆ ซึ่งจากที่อยู่ไปแล้วทำให้รุ้ว่า จริงๆ การมีเพลงแรกให้ดัง ยาก เพราะว่าทำมาเป็น 10 แล้วนะ กว่าเพลงแรกจะดัง แต่ยากกว่าคือเพลงต่อไป มันจะยากขึ้นเรื่อยๆ

 

ในกระบวนการทำงาน อย่างที่ทุกคนมีเครื่องดนตรีคนละชิ้น แต่ละคนเป็นอะไรกันบ้าง

เจ : จริงๆ แล้วมันก็ ถ้าเทียบกันแบบนั้น มันก็จะเทียบไม่ได้ คือดนตรีที่เราได้ยินกันมันก็จะมีหลายสไตล์ มันก็จะประกอบกันจากเครื่องดนตรีหลายๆ ชิ้น เช่น ออร์เคสตรา ก็จะเครื่องเป่าเครื่องสายเครื่องให้จังหวะ เวลาทุกอย่างเอามาประสานกัน มันคือความไพเราะ ทีนี้พอมาพูดถึงวงเราที่มันเป็น acappella ซึ่งมีการร้องประสานเสียงโดยที่ไม่ใช่เครื่องดนตรีอะไรเลย เราก็เลยจะพูดแทน แต่ละเสียงมันก็เหมือนการเป็นเครื่องดนตรีเครื่องหนึ่ง มันก็จะเป็นโทนเสียง เรียกว่าเป็นโทนเสียงดีกว่า เราลองไปเปรียบเทียบว่าเราเป็นเครื่องดนตรีชนิดไหนไม่ได้ มันเป็นโทนเสียงอย่างเปาเขาจะเป็นเสียงเบส เสียงทุ้มๆ ต่ำๆ

 

            เปานอกจากจะเป็นเสียงเบสแล้ว ในรุ่นของเขา ถ้าคณะนักร้อง เขาลงต่ำได้ที่สุด แล้วก็เสียงเป็นเสียงเบสโดยธรรมชาติ หายากมากในคนเอเชียที่จะลงต่ำแล้วร้อง แล้วทักษะดนตรีดีด้วย คนที่ร้องเบสจะต้องรู้คอร์ดที่ดี เป็น formation

 

            คือเขามีครบทุกอย่าง เสียง แล้วก็ความสามารถในการดึงโน้ต ซึ่งเอาจริงๆเขาเก่งมาก บางคนอาจจะเสียงต่ำแต่ว่าเล่นดนตรีไม่เป็นต้องมาฝึกกันอีกเยอะ แต่เปาเก่งมากทางดนตรี แล้วก็ร้องออกมาได้เลยเป็นคีย์ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ตอนที่ผมไปคุยกับเขา amazing มาก เพราะว่าเพื่อนคนนี้แบบ พูดภาษาอะไรวะ ต้องบอกว่าถ้าอยากทำเพลงแนวนี้ ตำแหน่งนี้หามาให้ได้ก่อน ตำแหน่งอื่นยังพอหาได้ ตำแหน่งนี้หายาก ตำแหน่งเบสนี่ต้องหาให้ดีที่สุดก่อน ต่อมาก็เป็นเสียงกลาง อันนี้ไม่มีอะไร ของผมนี่โทนเอเชีย เสียงกลางก็จะหาได้ทั่วๆ ไป จั๊ก เพราะว่ามีทักษะดนตรีด้วย เสียงกลางหาได้ทั่วไป แต่ต้องบอกว่าโน้ตของเสียงกลางทรมานมาก โน้ตมันจะเป็นตัวประหลาดตลอดเวลา ต้องรับเคราะห์ในการร้องอะไรที่มันยากๆ ประหลาดๆ เปรียบง่ายๆ คือเสียงที่ไม่ใช่เสียงธรรมชาติที่คนจะนึกออก โน้ตตัวนี้ ที่เขาร้อง เป็นคนที่เก่งทักษะทางด้านรู้ว่าจะต้องใช้โน้ตอะไร แต่ก็สามารถฝึกกันได้ ต่อมาคือเสียงกลางกับสูง สูงก็คือเอก กับผม สูงมีหลายคนไม่เป็นไร แต่เสียงกลางกับต่ำไม่ต้องมีเยอะ มีแค่คนสองคนพอ เสียงสูงจะมี 3 คนก็ได้ 2 คน ก็ได้ 1 คน ก็ได้ แต่ถ้ามีเยอะมันก็ดี ทำให้ อย่างผมเสียงสูงประสานเพลงก็จะเป็น solo ร้องเป็น melody แล้วก็คอยประสาน มีผมร้อง solo เอกก็ประสาน สลับกัน เพราะฉะนั้นเสียงสูงถ้ามีเยอะเพื่อจะได้สลับกัน เพราะว่าเสียงนำมันต้องเป็นคนเสียงสูง จะร้องได้เป็น lead ได้มากกว่าเสียงกลาง เพราะฉะนั้นเสียงสูงก็จะคอยสลับกัน

 

 

คราวนี้จุด turning ที่จะมาอันนี้เต็มตัวแล้ว

เอก : พอมีพูดไม่คิด งานเข้ามา ในขณะที่เราต้อง develop ด้วย อีกแบบหนึ่ง เพราะตอนแรกเหมือนพี่ตี๋เขาพัฒนาวงมาเป็นแบบคล้ายๆ boy band เราเริ่มคิดว่ามันไม่ใช่ทางเรา เรากลับมามองว่าเราทำอะไรไปบ้าง การจะเล่นแบบไปทุกภาคทุกจังหวัดแล้วก็เป็นลักษณะวงดนตรี แล้วก็มีการจ้างงานเกิดขึ้น ถ้าเราไปเปิด backing track แบบเราไปร้องคาราโอเกะ มันก็ไม่ได้ เขาไม่เอา ซึ่งตรงนั้นเราต้องใช้เวลาเยอะ ตอนแรกก็คุยกันว่าแบ่งรับแบ่งสู้ จริงๆ ตอนแรกก็เกรงใจเพื่อน ใช่ ตอนแรกเหมือนจะพูดให้เขาออก แต่ว่าพอเราเห็นว่ามันไม่มั่นคงจริงๆ มันฟุ้งไปไม่ได้

 

ต้องถามคุณเอก อะไรที่ทำให้ตัดสินใจ

            โชคดีครับที่อันนี้มันเป็นเรื่องหนึ่งที่ คือผมโตมาในครอบครัวที่ ถ้าในวัยเด็กมันมีชีวิตที่ค่อนข้างสบาย เรียกได้ว่าที่บ้านมีฐานะประมาณหนึ่ง ไม่ขาดอะไร พอช่วงที่เราจากมัธยมเข้าสู่มหาลัย ช่วงปี 40 ก็เป็นช่วงปีวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปีที่คุณพ่อ ที่บ้าน ลงทุนไว้เยอะมากเลย แล้วมันก็พังหมดเลย ซึ่งก่อนหน้านี้เราเป็นเด็กอยู่สบาย พอมหาวิทยาลัย ทุกอย่างมันผกผันซึ่งเป็นอะไรที่เด็กๆ ก็ยังเหวอๆ อยู่ วันหนึ่งเรานั่งรถที่มีคนขับรถให้พาไปโรงเรียน เราแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย กลับกลายเป็นเด็กที่จะต้องนั่งรถเมล์ไปมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งหลายๆ อย่าง เห็นทุกเหตุการณ์ เห็นรถประจำตำแหน่งของคุณพ่อขับออกไปทางประตู แบบมันไม่กลับมาอีกแล้ว หรืออะไรหลายๆ อย่าง ที่ตรงนี้โดนยึด โตมาด้วยเหตุการณ์พวกนี้ มันเลยทำให้ mind set ว่า เราต้องอยู่ให้ได้โดยที่เราต้องมีความสุข กับสิ่งที่เรามีอยู่ ที่บ้านพยายามสอนว่าไม่เป็นไรนะ ไม่ดีไม่เป็นไร มันเป็นของนอกกาย แต่เราก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังสู้มาด้วยกัน จนพอเติบโตด้วย mind set แบบนั้น ผมก็เลยรู้สึกว่าเรื่องเงินมันไม่ใช่เรื่องอันดับ 1 ของผม คือชีวิตผมไม่ใช่เรื่องเงิน เรื่องเงินเป็นเรื่องรองๆ ลงมาเลย ชีวิตคืออะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุข แล้วเราอยู่กับมันแล้วเราโอเค เราไม่ได้ทำให้คนอื่นลำบาก ไม่ได้ทำให้ที่บ้านเดือดร้อน อันนั้นคือสิ่งแรกที่เราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะไปอยู่ตรงนั้นให้ได้ คือไม่ใช่การหาเงินให้ได้เยอะที่สุด แต่เป็นการใช้ชีวิตที่มีความสุขที่สุดแล้วสามารถดูแลที่บ้านได้ พอแล้ว เราไม่อยากจะเอาอะไรที่มันฟุ้งเฟ้อไปมาก เราไม่เคยคิดว่าเราอยากจะได้บ้านหลังใหญ่ๆ ไปต่างประเทศทุกปี อันนี้ไม่ใช่ mind set ของผม มันเลยทำให้รู้สึกว่า ตอนออกจากงานก็รู้สึกไม่เป็นไร นี่คือหนึ่งโอกาสในชีวิต ที่เราจะได้ลองทำอะไรที่เราเคยฝันไว้

 

 

            เด็กๆ ผมเคยฝันไว้ ผมเคยยืนอยู่เป็นคนดูคอนเสิร์ต วันนั้นพี่เจเล่น แล้วผมมองขึ้นไปดูพี่เจ โคตรเท่เลย เรารู้สึกว่า เหมือนมันเป็นความรู้สึกที่ขึ้นมาว่าวันหนึ่งเราอยู่ตรงนี้ เราอยากรู้จริงๆ ว่าอยู่ตรงนั้นมันจะรู้สึกยังไงบ้าง ชีวิตอยากจะไปอยู่ตรงนั้นมาก ความฝันที่อยู่ลึกๆ ในใจ แต่ไม่เคยบอกใครเลย พอวันนั้นมันก็คือทบทวนกับความฝันที่เราอยากจะมีด้วย รู้สึกว่าถ้ามันไม่ใช่ตอนนี้มันจะเป็นตอนไหนที่เราจะมาทำมัน คือโอเคถ้าอย่างผู้ใหญ่มองก็จะบอกว่า เอาจริงๆถ้าเรามองเรามีลูกเราก็ยังต้องด่าเลยว่ามึงทำอะไรวะ แทนที่ทุกเดือนมีเงินเดือนที่โคตรจะโอเคเลย มั่นคงมากๆ แต่อารมณ์ตอนนั้นคือ who care? มันไม่สนใจอะไรแล้ว แล้วอีกอันหนึ่งก็คือ เราเรียนมาขนาดนี้ ถ้าตรงนี้มันไม่เวิร์ค มันก็กลับไปได้ เรามีความรู้อยู่แล้ว เรามีวุฒิอยู่แล้ว เรามีอะไรอยู่แล้ว กลับไปเริ่มต้นกับตรงนั้นใหม่ได้ ตรงนี้มันเป็นสิ่งที่จะต้องลอง ไม่ลองตอนนี้ไม่รู้จะตอนไหนแล้วจริงๆ เหมือนจะต้องลุยแล้วคว้ามันในสิ่งที่เราอยากจะเป็นอยากจะได้ หรืออยากจะอยู่บนเวทีแบบพี่เจ ถ้าไม่ทำตอนนี้จะไม่ได้อยู่บนนั้นแน่ๆ

 

            มันก็เลยเป็นความรู้สึกที่เอาวะ ลุย ไม่สนใจอะไรแล้ว ลาออก ยอมหักกับที่บ้าน คือที่บ้านเครียด คุณพ่อคุณแม่เครียด ทุกคนเครียดว่าทำไมถึงทำแบบนี้ เงินก็เงินเขาส่งไปเรียนนอก คือเป็นเขาลงทุนให้เราทำไมเราทำตัวแบบนี้ ซึ่งสิ่งที่วันหนึ่งพอเวลามันผ่านไปประมาณหนึ่ง เขาได้เห็น คุณพ่ออยู่อเมริกาเพิ่งกลับมา แต่คุณแม่อยู่เมืองไทยคนเดียว แล้วผมเป็นคนชอบเอาคุณแม่ไปไหนมาไหนด้วย จะได้ให้เขาไปเห็น คือก็ใช้เวลาประมาณหนึ่ง คือเขาเฮิร์ทมากที่เรามาทำตรงนี้ แทนที่เขาจะได้เห็นลุกเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ใช้เวลานาน ที่เราพาเขาไป เราไปเล่นที่นี่นะ ไปทำคอนเสิร์ตที่นี่ ไปออกรายการที่นู่น ไปออกที่นี่ แล้วเขาเห็นเรามีความสุข แล้ววันหนึ่งจำ moment นั้นได้ เป็น moment ที่ไปคอนเสิร์ตด้วยกันมาพาคุณแม่ไปอยู่หลังเวที คอนเสิร์ตเสร็จขับรถกลับบ้าน แม่เขาบอกว่าแม่เห็นแล้วล่ะ แม่เห็นแล้ว แล้วแม่ก็รู้อยู่แล้วว่า คือแม่บอกว่าเห็นลูกอยู่บนเวทีแล้วมีความสุขมากๆ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วมันก็รู้สึกว่า นี่แหละ ก็เป็นทางที่ถูกแล้ว จริงๆ แม่เขา agent ตรงนี้มาตลอด แต่วันนั้นเขาพูดความรู้สึกออกมาเลยว่า มันเป็นทางของลูกจริงๆ นะ แล้วแม่เห็นความสุขของลูกอยู่บนเวที แม่เห็นทุกคนที่อยู่ข้างล่างเวที แม่เห็นทุกอย่าง แล้วรู้สึกว่าแม่มีความสุขมากที่ลูกมาเดินทางนี้ เขาบอกว่า ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่จะสนับสนุนทางนี้ไปตลอด ให้ลูกเป็นแบบนี้ ฟังแล้วแบบ หันไปแล้วแบบ มันใช้เวลาพิสูจน์อยู่ประมาณหนึ่งเลยนะ ที่เราจะมาถึงจุดจุดนี้ได้ ซึ่งแต่ก่อนมันเป็นอะไรที่แบบคนละอย่าง เขาจะขัดขวาง เขาจะไม่ค่อยมีความสุข คือเขาภูมิใจอยู่แล้ว แต่วันนั้นเป็นแบบเป็น moment ที่ขับรถ ขับมาด้วยกันแล้วเขาพูดขึ้นมา ว่าเขาภูมิใจในตัวเรามาก เขาภูมิใจมากที่เขาเห็นเราในวันนี้ รู้สึกจะที่ impact เพราะคนเยอะมาก รู้สึกจะคอนเสิร์ตเกาหลี เป็น hall impact arena แล้วเราอยู่บนนั้น เขายืนดูอยู่แล้วเขาก็เห็นคน เขาขึ้นรถมาเขาก็เลยพูด เหมือนเขาก็คงเก็บมานานแล้วแหละ คงหาจังหวะพูด เป็น moment จำได้ เป็น moment ปลด lock รู้สึกว่าเราไม่ได้ทำให้เขาเสียใจเลยที่เราเลือก ในวันนั้นที่เราเลือกที่ออกจากงานมาแล้วมาทำตรงนี้ แต่ว่ามันใช้เวลาประมาณหนึ่งเลยที่จะพิสูจน์ให้เขาเห็น นี่แหละคือทางที่เราเดินมา ที่เราชอบ ที่เรารัก ถ้าเขาได้เห็นเราทำในสิ่งที่เรารักแล้วมันก็เลี้ยงดูตัวเองได้ด้วย เขาก็โอเคแล้ว

 

 

จนถึงวันนี้ พวกคุณได้เห็นการเติบโตของตัวอย่างไรบ้าง

เจ : ถ้าชื่อ season five เป็นปีที่ 9 สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าทำให้วงค่อนข้างจะเติบโตมา ต้องยอมรับว่าเราเป็นวงหนึ่งที่ไม่ได้หวือหวามาก มีคนรู้จัก มีเพลงที่คนรู้จัก ชื่อรู้จัก หน้ารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง เพราะฉะนั้นรู้เลยว่าไม่ใช่วงดังมาก ไม่หวือหวา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีมากๆ สำหรับพวกเรา 1 เรามาด้วยกันเป็นเพื่อนกัน เราเป็นเพื่อนกันจริงๆ เราไม่ได้จับมารวมกัน เรามาเป็นเพื่อนกันแล้วสิ่งที่ทำให้เราเป็นเพื่อนกันได้มากที่สุดก็คือเพลงที่เราชอบ แล้วก็สิ่งที่เราเดินทางมาร่วมกัน เราเจอปัญหามาเยอะมาก เยอะจนเมื่อวันหนึ่งที่เราสำเร็จ เราไม่ได้หลงไปกับมันเลยสักนิดเดียว กับชื่อเสียง เพราะว่าเราเห็นแล้วว่าจุดที่เราฝ่าฟันมาเจอปัญหาอะไรมาก ปัญหาเราเจอครบทุกรูปแบบ ปัญหาการทำงานกับคน ปัญหาของทีมงาน ปัญหาของ คือเจอมาหมดแล้วที่ศิลปินวงหนึ่งน่าจะเจอ มันเจอมาหมด ผมเชื่อว่าเจอมาหมด มันไม่มีปัญหาไหนที่ไม่เคยเจอ เพราะฉะนั้นพอมาถึงจุดหนึ่งมันทำให้เราค่อนข้างจะแข็งแรงในบางครั้งที่เราผิดหวังเราจะไม่ผิดหวังจนเกินไป เพราะว่าตัวเราเจอมาหมดแล้ว แล้วก็สิ่งที่เราได้มา เรารู้สึก ถ้าหลายคนบอกว่า season five มีเพลงดัง โคตรดีเลย ไม่เลยครับ season five ผ่านมาเยอะจนที่มันได้มามันเป็นแค่ของขวัญจากการที่เราล้มมาไม่รู้กี่ครั้ง เราก็เลยรู้สึกว่านี่คือจุดแข็งของเราที่เราไม่ได้ได้ความสำเร็จมาอย่างหวือหวา ความสำเร็จของเรามันมาจากก้าวสั้นๆ ที่เราก้าวมาไม่รู้เท่าไหร่

 

 

            ประสบการณ์ที่ season five ได้มาเราไม่ได้ได้มาชั่วข้ามคืน ชั่ววูบ หรือไม่ได้ได้มาง่ายๆ ดังนั้นเราเลย แล้วตอนที่เราได้ก็เป็นช่วงอายุที่เราโตแล้ว มีประสบการณ์ในระดับหนึ่งแล้ว ทั้งประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์ด้านดนตรี ก็เลยไม่รู้สึกว่าอะไรมันจะหวือหวามาก หรืออะไรมันจะทำให้เราเหลิงมากเกินไป เราก็จะรู้สึกว่าเราอยากไปด้วยกันกว่านี้อีกหน่อย เราอยากพัฒนา พัฒนาให้มากขึ้นไปอีก เพราะว่าเรารู้สึกว่าเรามาถึงจุดหนึ่งแล้ว ทุกคนรู้จัด ได้รับการยอมรับ แต่ว่าเราว่าเรายังเหลือทางที่เราอยากจะเดินไปอีก

 

ฝากทิ้งท้ายถึงผู้อ่าน MUSE เราจะค้นพบยังไงว่าเราชอบอะไร เราจะค้นหาตัวเองยังไง

เอก : เป็นเรื่องยากที่สุด เพราะว่าผมว่าเด็กทุกคนคงมีความฝัน แต่ว่าระหว่างทางจะท้อก่อน แต่ก็มีเด็กอีกบางส่วนที่ไม่ท้อ แล้วก็ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้างตามความฝัน แต่ว่าถ้าเรา นอกจากอดทนแล้วพยายามอดทนแล้ว ต้องมีการพัฒนา คอยสะสมความคิดที่มันผ่านมาที่มันไม่สำเร็จ ทำยังไงให้มันสำเร็จ

 

 

เชื่อมั่นในตัวเองด้วย รู้จักประยุกต์ความคิดให้ทันกับโลก จะต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอด

จั๊ก : แล้วยิ่งยุคนี้เป็นยุค social ด้วย การที่จะมาเป็น idol มันเป็นเรื่องง่ายมาก แต่ว่ามันก็ยากมากที่คนอื่นก็เก่งเหมือนเราเลย เพราะฉะนั้นมันจะชนะกันด้วยอะไร หนึ่งคือทนได้หรือเปล่า หรือคุณอึดแค่ไหน หรือว่าคุณเก่งเท่ากันแต่ว่าคนหนึ่งถอดใจไปแล้ว มีหลายคนนะที่เก่งมากๆ จริงๆ คนยังไม่เห็นแวว หรือคนยังไม่รู้ จนถึงระยะเวลาหนึ่งของมัน ที่ยังไงคนที่เกิดมาเพื่อเป็น star หรือเก่งจริงๆ ยังไงมันก็ต้องเกิด มันขึ้นอยู่กับว่าคุณรอได้นานแค่ไหน ยกตัวอย่างอย่าง the toy เขามีเพลงมานานแล้วนะ แต่คือเขาก็ไม่เคยหยุด เขาพยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลา จนวันหนึ่งเขาก็ shine ขึ้นมาเอง ผมว่าอันนี้มันเป็นเรื่องของ timing ระยะเวลาด้วย ความอดทน ของทุกคนมันมีอยู่แล้ว จริงๆ ความเก่งทุกคนมันมีอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณอึดแค่ไหน แล้วก็ timing มันก็บอกไม่ได้หรอกว่าชีวิตใครมาเร็วมาช้า บางคนมาแล้วแล้วก็ดับไป แต่ดับไปแล้วดันเกิดขึ้นมาใหม่อีก ดังกว่าเดิมอีก ก็รู้อยู่ว่าพูดถึงใคร ไม่แน่นอนเลย timing ของชีวิตคน เราน่าจะเป็นวงที่อึด

           

            แล้ววงพวกเราเป็น truly friend คือเป็นวงที่ friendship รากฐานมาจาก friendship แท้ๆ อันนี้มันเลยเพิ่มความอึดไปได้เรื่อยๆ ถ้าเทียบเป็นวงอื่นมาขนาดนี้ โชคดีนะพวกมึง กูไปแล้ว ไปก่อนแล้ว ไปแล้วดีกว่า เอาจริงๆ ถึงจุดนี้เราก็ยังไม่ใช่ศิลปินที่มีรายได้มหาศาลขนาดนั้น ถ้าเทียบกับอาชีพอื่น ใจรักล้วนๆ และความเป็นเพื่อนล้วนๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเหมือนเราอยู่กันมาเป็นเพื่อนแล้ว กลายเป็นครอบครัวหนึ่ง ครอบครัว season five ที่เริ่มมาจากเพื่อน ตอนนั้นมันเหมือนกับว่ายังไงก็แยกกันไม่ขาด

 

 

ผลงานใหม่ล่าสุด

            เพลงชื่อว่า ‘ต่อให้’ gvdแต่งเอง แล้วก็มีน้องเอิ๊ต ภัทรวี มาช่วยด้วย ในการเขียนทำนอง แล้วก็มีพี่โอ๊บวงไทม์ มาช่วยด้วย เหมือนเดิมครับ แต่เพลงนี้ก็จะพิเศษหน่อยเพราะเราห่างหายจากเพลง drama หนักมานานแล้ว ก็เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่จัดจ้านด้วยเนื้อหาด้วยอารมณ์ อีก 1 เพลงที่เราภูมิใจนำเสนอเลย เพราะว่าเราตั้งใจทำมาก ก็ตื่นเต้นมาก มากกว่าเพลงทกเพลงอื่นๆ ที่ผ่านมา เพลงอื่นจะปล่อยไม่ค่อยนับถอยหลังเท่าไร แต่เพลงนี้นับถอยหลังเลยว่าอยากรู้ว่าคนจะ feed back ยังไง จากที่คนเรียกร้องมาว่าอยากฟังเพลงใหม่แล้ว คนก็เหมือนอยากมาก อยากเห็น season five กลับมาเป็น drama หนักๆ เพลงนี้รู้สึกว่าเราทำตามโจทย์ที่เขาเรียกร้องมา อย่าง 100% ก็เลยเหมือนเรานับถอยหลังที่จะ อยากจะรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาเรียกร้องแล้วเราทำไปมัน meet กันหรือเปล่า แล้วเขาชอบขนาดไหน แทบจะทนไม่ไหวแล้ว คือตอนนี้อยากอ่าน comment แล้ว ว่าสิ่งที่เราทุ่มเทลงไปแล้วเราได้ feed back กลับมาอย่างไร มันตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นที่สุดเลย ก็อยากฝากเพลงต่อให้ ของพวกเราไว้ด้วย แล้วอยากให้ถ้าชอบก็แชร์กันเยอะๆ อยากให้ทุกคนได้ฟัง

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ