พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาระบุเอาไว้ว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือที่มักคุ้นกันมากกว่าในพระนามก่อนครองราชย์ว่า เจ้าสามพระยา นั้น สร้าง “วัดราชบูรณะ” ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1964 อันเป็นปีเดียวกับที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ โดยได้สร้างวัดขึ้นในบริเวณพระเพลิงเจ้าอ้ายพระยา และเจ้ายี่พระยา พระเชษฐาทั้งสองของพระองค์ ที่ได้ทำยุทธหัตถีกันเองจนสิ้นพระชนม์ลงทั้งคู่ เมื่อครั้งหลังเกิดการจลาจล หลังสมเด็จพระนครินทราชาผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าชายทั้งสามพระองค์นี้เสด็จสวรรคต
แต่การที่เจ้าสามพระยาสร้างวัดราชบูรณะขึ้นบนพื้นที่ที่ใช้ถวายพระเพลิงพระเชษฐาทั้งสองพระองค์นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่พระเชษฐาทั้งคู่เสียเมื่อไหร่?
เพราะในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาก็ได้ระบุไว้ด้วยว่า ทรงโปรดฯ ให้สร้างเจดีย์สององค์ไว้ตรงที่ใกล้สะพานป่าถ่าน อันเป็นสถานที่กระทำยุทธหัตถีของทั้งคู่ นัยว่าเป็นที่ระลึกถึงพระเชษฐาทั้งสอง
ดังนั้นวัดราชบูรณะจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อการอย่างอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาไปถึงข้าวของต่างๆ ที่ถูกอุทิศถวายเอาไว้ภายในกรุของพระปรางค์ อันเป็นสิ่งปลูกสร้างประธานของวัดแห่งนี้
ภาพที่ 1: ภาพถ่ายเก่าวัดราชบูรณะ จ. พระนครศรีอยุธยา ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2500
แหล่งที่มาภาพ: http://huexonline.com/knowledge/35/368/
เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2500 กรมศิลปากรได้รับแจ้งว่ามีผู้ร้ายจำนวนหลายคนลักลอบขุดกรุในองค์พระปรางค์ใหญ่ หรือองค์พระปรางค์ประธานของวัดราชบูรณะจนได้สมบัติเครื่องทองของมีค่าไปเป็นจำนวนมาก
บรรดาเครื่องทองของมีค่าต่างๆ ที่ลักลอบขุดได้มานั้นถูกนำมาส่งยังร้านขายทองที่หัวรอ และต่างก็ถูกหลอมจนหมดสภาพไปภายในเวลาไม่กี่วันไปอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด
คนร้ายกลุ่มนี้ได้แบ่งสันปันส่วนสมบัติที่ขุดได้ระหว่างกัน โดยมีอยู่คนหนึ่งได้พระขรรค์ทองคำที่ประดับด้วยอัญมณีมีค่าไปว่ากันว่าด้วยความย่ามใจ คนร้ายคนดังกล่าวก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนจนกระทั่งมึนเมาไปด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แล้วจึงนำพระขรรค์องค์ดังกล่าวออกมารำเป็นยี่เกอยู่กลางตลาดหัวรอ แต่ด้วยความที่พระขรรค์องค์นี้เป็นของมีค่าจึงทำให้มีผู้สังเกตว่าไม่น่าจะมาอยู่ในมือของสามัญชนอย่างคนร้ายได้
และก็ด้วยเหตุผลพิลึกพิลั่นอย่างนี้ที่ทำให้เรื่องล่วงรู้ไปถึงหูของตำรวจ และสืบทราบจนรู้ความจริงว่าเป็นสมบัติมีค่าที่คนร้ายขุดได้มาจากกรุภายในพระปรางค์ วัดราชบูรณะจนนำมาซึ่งการตามจับคนร้าย และทวงคืนเครื่องทองต่างๆ เท่าที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดไปในที่สุด
แต่ว่าในโชคร้ายก็ยังมีโชคดี เพราะหากไม่มีการลักลอบขุดครั้งนี้ ก็คงไม่มีใครทราบได้ว่าในพระปรางค์แห่งนี้มีกรุสมบัติที่แสดงให้เห็นพิธีกรรมโบราณอันซับซ้อนของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสืบทอดต่อมาจากอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาก่อนหน้านั้นในภูมิภาคอุษาคเนย์ยุคโบราณ ไม่ว่าจะเป็น ขอม, จามปา หรือชวาโบราณ ซึ่งก็คือคติความเชื่อในลัทธิความเชื่อ ที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘เทวราช’ นั่นเอง
ภาพที่ 2: ภาพคุณกฤษณ์ อินทโกสัย รองอธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้นถือพระขรรค์องค์ที่ถูกคนร้ายเอาไปรำที่ตลาดหัวรอ
บนปกหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย เมื่อ พ.ศ. 2500
แหล่งที่มาภาพจาก: https://www.matichon.co.th/entertainment/arts-culture/news_94106
กล่าวโดยสรุป เทวราชเป็นลัทธิความเชื่อที่เกิดจากการประสมปะสานระหว่างศาสนาผีของอุษาคเนย์ กับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธจากชมพูทวีป พิธีกรรมสำคัญในลัทธิที่ว่านี้ก็คือ การสถาปนารูปเคารพไม่ว่าจะเป็น ศิวลึงค์, เทวรูปพระนารายณ์ หรือพระพุทธรูปขึ้นเป็นรูปฉลองพระองค์ของกษัตริย์ผู้สถาปนารูปเคารพองค์นั้นเมื่อเสด็จสวรรคตไว้บนศาสนสถานที่จำลองเป็นศูนย์กลางจักรวาลตามปรัมปราคติคือ เขาพระสุเมรุ
พูดง่ายๆ ว่า เมื่อกษัตริย์ได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว ดวงพระวิญญาณจะไปรวมเข้ากับเทพเจ้าไม่ว่าจะเป็นพระศิวะ พระนารายณ์ หรือแม้กระทั่งพระพุทธเจ้าในรูปเคารพที่ได้ถูกสถาปนาขึ้นนี้นั่นเอง
แต่ข้อมูลจากจารึกสด๊กก็อกธม ในวัฒนธรรมขอมโบราณ ซึ่งมีศักราชระบุตรงกับเรือน พ.ศ. 1595 ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า รูปเคารพที่ดวงพระวิญญาณของกษัตริย์จะเข้าไปรวมด้วยนั้นได้ถูกพิธีกรรมในลัทธิที่ว่านี้ สถาปนาให้เป็นราชาเหนือเทวะทั้งหลายในสากลจักรวาลด้วย ซึ่งหมายความว่าเมื่อกษัตริย์ผู้ทรงประกอบพิธีในลัทธิเทวราชสิ้นพระชนม์ลงแล้วจะได้ไปเป็นจักรพรรดิเหนือโลกของเทพเจ้าด้วยการหลอมรวมเข้ากับพระศิวะ พระนารายณ์ หรือพระพุทธเจ้าอีกด้วย
แน่นอนว่า พระปรางค์วัดราชบูรณะก็เป็นเขาพระสุเมรุจำลอง แต่ระบบโครงสร้างผังของกรุภายในพระปรางค์ รวมถึงระเบียบการจัดวางข้าวของ และประเภทของสมบัติต่างๆ ภายในนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของพิธีกรรมที่ว่านี้ ได้พัฒนามาไกลกว่าที่ระบุอยู่ในจารึกสด๊กก็อกธมมากทีเดียว
ภาพที่ 3: ปรางค์ประธาน วัดราชบูรณะ ภายในมีกรุ เป็นหลักฐานของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในลัทธิเทวราช
ที่พัฒนาขึ้นในอุษาคเนย์ และไม่มีในอินเดีย
แหล่งที่มาภาพจาก: https://www.matichonacademy.com/tour-story
กรุในพระปรางค์วัดราชบูรณะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น
ห้องกรุขั้นที่ 1 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดมีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นรูปชาวจีน และเทวดาที่แต่งกายอย่างศิลปะศรีลังกา อยู่รายรอบ แน่นอนว่า ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในห้องกรุชั้นที่ 1 นี้วาดอยู่ในผนังห้องที่ปิดตาย ภาพวาดเหล่านี้จึงไม่ได้วาดให้ใครดู เท่ากับวาดเพื่อเป็นพุทธบูชาในการพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
ส่วนกรุชั้นกลางคือชั้นที่ 2 มีขนาดเล็กมากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับห้องกรุชั้นบน แต่ก็เต็มไปด้วยเครื่องทองและของมีค่านานาชนิด โดยผนังภายในห้องกรุชั้นนี้ประดับไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังอย่างเต็มพื้นที่ ผนังทั้งสี่ด้านรองพื้นด้วยสีแดงชาด วาดเส้นด้วยสีขาว ดำ เขียว และปิดทอง เขียนเล่าเรื่องพระอดีตพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ที่เขียนไว้ด้วยสีทอง ส่วนบนเพดานก็วาดไว้ด้วยรูปดาวเพดานอย่างวิจิตรงดงาม
น่าเสียดายที่เครื่องทองส่วนใหญ่ที่ถูกจัดวางเอาไว้ในกรุชั้นนี้ถูกคนร้ายขโมยไป สมบัติจำนวนมากจึงสูญหายไปแล้ว โดยผลกระทบที่สำคัญจากการที่ถูกลักลอบขุดหาสมบัติอีกอย่างก็คือ ทำให้ไม่ทราบว่า ข้าวของส่วนใหญ่ถูกจัดวางอย่างเป็นระบบระเบียบอย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เราพอทราบว่า พระปรางค์จำลองที่ทำขึ้นจากทองคำ ตั้งเป็นประธานอยู่ตรงกลางของห้องกรุชั้นนี้ โดยเฉพาะเมื่อห้องกรุชั้นนี้เต็มไปด้วยเครื่องทองชิ้นเอก ไม่ว่าจะเป็นพระขรรค์ มงกุฎ และศิราภรณ์ทองคำ ฯลฯ ประกอบกับการเข้ามาสำรวจโดยกรมศิลปากร ภายหลังการลักลอบขุดไม่นานนักที่ช่วยให้ทราบว่า ภายในซุ้มที่เว้าลึกเข้าไปในผนังห้องกรุชั้นนี้ล้อมรอบด้วยโต๊ะที่ทำขึ้นจากสำริด ขนาด 44x72 เซนติเมตร สูง 42 เซนติเมตร ตั้งอยู่ข้างในซุ้มเหล่านั้น เฉพาะผนังด้านทิศเหนือ ตะวันตก และตะวันออก ส่วนทิศใต้นั้นไม่พบหลักฐานว่ามีโต๊ะที่ว่านี้อยู่ แต่คงเป็นโต๊ะทั้ง 3 ตัวนี้เอง ที่เคยใช้สำหรับจัดวางเครื่องทอง และสมบัติมีค่าทั้งหมดที่พบอยู่ในห้องกรุชั้นนี้
ส่วนกรุชั้นล่างสุดอันเป็นชั้นที่ 3 ซึ่งปัจจุบันได้ถูกปิดผนึกไว้อีกครั้งโดยกรมศิลปากรแล้วนั้น มีขนาดเล็กเพียงแค่ 1.40x1.40 เมตร และสูงเพียง 80 เซนติเมตรเท่านั้น แต่กลับพบสมบัติอันล้ำค่าที่สุดคือ พระเจดีย์ทองคำที่มีครอบทำด้วยโลหะถึง 4 ชั้น ยังพบภายในของพระเจดีย์ทองคำองค์นี้บรรจุไว้ด้วยพระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปแก้วผลึกกับเครื่องทองคำขนาดจิ๋วจำนวนมาก และยังมีแผ่นใบลานทองคำจารึกอักษรขอมเอาไว้ด้วย
พระธาตุที่อยู่ในเจดีย์ทอง ภายในกรุชั้นล่างสุดนี้คงเป็นอัฐิธาตุของสมเด็จพระนครินทราชา ผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าสามพระยา เพราะพิธีกรรมในลัทธิเทวราชนั้น มักใช้อัฐิธาตุของกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ไปบรรจุไว้ใต้ฐาน หรือไม่ก็เหนือฝ้าเพดานของรูปเคารพฉลองพระองค์ที่กษัตริย์จะกลับเข้าไปรวมเป็นราชาเหนือเทวะ คือเทพเจ้าทั้งหลาย
ในขณะที่เครื่องทองที่บรรจุอยู่ในกรุชั้นที่ 2 นั้น แม้สูญหายไปมากแล้วก็ตามแต่ข้าวของที่เหลืออยู่ทั้งหมดก็แสดงให้เห็นว่าเป็นเครื่องราชูปโภค คือ เครื่องแสดงยศถาบรรดาศักดิ์ของกษัตริย์ทั้งสิ้น จึงแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันกับคติเรื่องพระจักรพรรดิราช คือราชาผู้อยู่เหนือราชาทั้งหลายในทั้ง 84,000 จักรวาล ตามความเชื่อในศาสนาพุทธ ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวความคิดในลัทธิเทวราชได้เป็นอย่างดี
ส่วนกรุชั้นบนสุดซึ่งพบพระพุทธรูปนั้นเป็นการจัดวางตามขนบในศรีลังกาที่ใส่พระพุทธรูปเอาไว้ในกรุของเจดีย์แทนพระบรมสารีกริกธาตุ กรุทั้งสามชั้นจึงแสดงให้เห็นถึงพิธีกรรมอันสลับซับซ้อนของศาสนาพื้นเมืองอุษาคเนย์ที่ผสมปนเปเข้ากับพระพุทธศาสนา โดยเป็นพิธีกรรมที่หลอมรวมเอาวิญญาณของสมเด็จพระนครินทราชาเข้าไปรวมเข้ากับพระพุทธเจ้า แล้วอยู่ในฐานะของพระจักรพรรดิราช ผู้เป็นใหญ่เหนือกษัตริย์และเทพเจ้าทั้งหลายในทุกๆ จักรวาล
นอกเหนือจากที่วัดราชบูรณะจะเป็นประจักษ์พยานของความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของราชสำนักอยุธยาแล้ว จึงยังเป็นร่องรอยหลักฐานของพิธีกรรมความเชื่อพื้นเมืองของอุษาคเนย์ ซึ่งไม่เคยปรากฏในวัฒนธรรมอินเดีย แต่มีตกทอดอยู่ในกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
ภาพที่ 4: แผนผังแสดงตำแหน่งกรุทั้ง 3 ชั้นภายในพระปรางค์ วัดราชบูรณะ
แหล่งที่มาภาพจาก: http://realmetro.com
ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ