เซี่ยงไฮ้ (Shanghai/上海) มีลักษณะเป็นเมืองอกแตกโดยมีแม่น้ำหวงผู่ (黄浦) ผ่ากลางทำให้ถูกแบ่งเป็นฝั่งซ้ำย เรียกว่า ผู่ซี (浦西) และฝั่งขวา เรียกว่า ผู่ตง (浦东) เซี่ยงไฮ้มีภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมในการเป็นเมืองท่าทางทะเลมาตั้งแต่สมัยโบราณเนื่องจากอยู่ตรงใต้สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียงพอดี จึงเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในทุกยุคสมัย จนกระทั่งเกิดสงครามฝิ่นในสมัยราชวงศ์ชิง (ประมาปี ค.ศ. 1840-1860) ซึ่งจีนพ่ายแพ้ต่อชาติตะวันตก โดยหนึ่งในข้อตกลงจากสงครมครั้งนั้นคือการเปิดพื้นที่ฝั่งผู่ซีให้เป็นเขตเช่าของชาติตะวันตกสำหรับทำการค้าขายสินค้า โดยอังกฤษเช่าพื้นที่ส่วนที่ติดแม่น้ำ (บริเวณไว่ทัน หรือ The Bund) และฝรั่งเศสเช่าพื้นที่ขนาดใหญ่บริเวณถัดเข้ามา (เขต French concession) ทำให้สภาพบ้านเมืองเซี่ยงไฮ้ฝั่งผู่ซีค่อนข้างเจริญ เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องสไตล์ยุโรป สองข้างถนนเรียงรายด้วยต้นเมเปิล จนได้รับฉายาว่า “ปารีสตะวันออก” ซึ่งเอกลักษณ์เหล่านี้ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนฝั่งผู่ตงนั้น ในสมัยก่อนเป็นหมู่บ้านชาวประมงและพื้นที่การเกษตรที่แทบไม่มีอะไรเลย เนื่องจากฝั่งนี้ติดทะเลทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับยกพลขึ้นบกตั้งแต่สมัยมองโกลมาจนถึงยุคสงครามฝิ่น รวมทั้งญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองด้วย จึงถูกทิ้งให้เป็นท้องนาว่างเปล่า จนกระทั่งมีนโยบายเปิดและปฏิรูปที่ดิน (Open and Reform) ของเติ้งเสี่ยวผิงในปี ค.ศ. 1979 จึงเริ่มมีการพัฒนาพื้นที่ฝั่งนี้ โดยตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา รัฐบาลได้เปิดพื้นที่ให้สำหรับต่างชาติเข้ามาเช่าทำการลงทุน ปัจจุบันฝั่งผู่ตงมีความทันสมัยล้ำหน้าแบบโมเดิร์น รายล้อมด้วยตึกกระจกสูงใหญ่ เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางทางการเงินเขตลู่เจียจุ่ย (Lujiazui/陆家嘴)ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินอันดับ 5 ของโลก มีเซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ - Shanghai Tower ตึกที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก) ในส่วนบริเวณพื้นที่ติดทะเลมีการสร้างโปรเจคขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ทั้งสนามบินนานาชาติผู่ตง และเซี่ยงไฮ้ดีสนีย์แลนด์ (Shanghai Disneyland) นอกจากนี้ฝั่งผู่ตงยังเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับจัดงานแสดงสินค้าระดับโลกอย่างเวิล์ดเอ็กซ์โป (World Expo) เมื่อปี ค.ศ. 2010 ที่ผ่านมา
ดังจะเห็นได้ว่าเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่ซับซ้อนเต็มไปด้วยความหลากหลาย การศึกษาและทำความเข้าใจแนวทางในการพัฒนาจากเมืองค้าฝิ่นให้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก คงไม่มีที่ไหนเหมาะสมเท่ากับ SUPEC (Shanghai Urban Planning Exhibition Center) อาคารประหลาดที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองได้เล่าเรื่องราวของเมืองนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด
ภาพที่ 1 SUPEC (Shanghai Urban Planning Exhibition Center)
การเดินทางมาที่นี่ก็ง่ายแสนง่าย เพราะตั้งอยู่กลางเมืองเพียงแค่นั่งรถไฟฟ้าหรือรถเมล์มาลงที่สถานี People’s Square (人民广场) ก็จะสะดุดตากับตึกรูปทรงแปลกตาหลังนี้ สำหรับค่าเข้าชมอยู่ที่ 30 หยวน (ประมาณ 150 บาท) แต่หากซื้อคู่กับตั๋วสำหรับขึ้นตึกสูงตึกใดตึกหนึ่งก็จะได้รับส่วนลดครึ่งหนึ่งด้วย
เมื่อเดินเข้ามาที่ชั้นแรกและชั้นสองของ SUPEC อาจทำให้รู้สึกว่าการจัดแสดงก็คล้ายคลึงกับศูนย์จัดแสดงผังเมืองทั่วไป มีโมเดลเมืองชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีจอภาพเล่าเรื่อง เน้นเล่าเรื่องราวของเมืองในสมัยอดีต มีราวจับเป็นรูปรถรางและสะพานเหล็ก (คล้ายสะพานพุทธฯ) นอกนั้นก็เป็นการเล่าเรื่องบ้านเมืองสมัยก่อนที่ดูธรรมดา ถึงตรงนี้หลายคนคงเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะคุ้มค่าเข้าชมหรือไม่ แต่เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาที่ชั้นสามทุกท่านจะเข้าใจได้ทันทีว่าทำไม SUPEC ถึงติดอันดับในสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองเซี่ยงไฮ้เกือบทุกการรีวิว
ภาพที่ 2 การจัดแสดงผังเมืองเซี่ยงไฮ้ผ่านโมเดลขนาดใหญ่
ชั้นสามทั้งชั้นถูกจัดแสดงด้วยโมเดลของเมืองเซี่ยงไฮ้ทั้งเมืองแบบอลังการสุด ๆ แถมเก็บรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว ตัวโมเดลอาคารส่วนใหญ่ทำจากกระดาษลังปกติ ส่วนตึกสำคัญที่เปิดไฟตอนกลางคืนจะถูกทำด้วยอะคริลิคพร้อมจัดแสงสี LED ให้เหมือนจริงแทบทั้งหมด นอกจากนั้นส่วนที่เป็นถนนสายหลักถูกประดับด้วยหลอดไฟสีส้ม โดยเฉพาะจุดที่เป็นสะพานเกลียวข้ามแม่น้ำหวงผู่ทำได้สวยงามมาก นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนโหมดแสงระหว่างกลางวันและกลางคืนอีกด้วย ซึ่งเราสามารถเดินวนดูรายละเอียดได้ทุกมุม ทำให้เห็นถึงการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างตึกสไตล์จีนโบราณ ตึกสไตล์ยุโรป และตึกกระจกทันสมัย สามารถเข้าใจการจัดวางโซนของเมืองได้ชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ชมยังสามารถขึ้นไปดูโมเดลในมุมสูงจากชั้นสี่ ซึ่งทำให้เห็นการจัดระเบียบผังเมืองได้ชัดเจนขึ้นไปอีก
เรื่องราวที่ชั้นสี่นี้ยิ่งทวีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะนอกจากตรงกลางที่มีพื้นที่สำหรับมองลงไปดูโมเดลมหึมาที่ชั้นสาม ส่วนอื่นของชั้นนี้ยังเล่าพัฒนาการของเมืองเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1979 จนถึงปัจจุบัน เหมือนกับพาให้เราเข้าไปอยู่ในเกมสร้างเมืองที่ค่อย ๆ สร้างทีละชิ้นจนเป็นรูปเป็นร่าง เริ่มจากการสร้างตึกในฝั่งผู่ตงที่เนรมิตท้องนาให้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินภายใน 20 ปี การสร้างสนามบิน การสร้างรถไฟฟ้าที่เริ่มสร้างพร้อมกันกับกรุงเทพฯ แต่ปัจจุบันเซี่ยงไฮ้มีรถไฟฟ้ามากถึง 18 สาย การสร้างรถไฟความเร็วสูงและรถไฟ maglev เชื่อมเมืองกับสนามบิน จนมาถึงการเป็นเจ้าภาพ World Expo 2010 รวมทั้งมีการเล่าถึงสิ่งที่จะทำต่อไปในอนาคตทั้งการพัฒนาเขตที่อยู่อาศัยทางเหนือของเมือง การพัฒนาเรื่องเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (Green and Smart city) ส่วนที่น่าประทับใจที่สุดคือเพดานด้านบนที่ถูกทำเป็นสีตามแผนผังของรถไฟฟ้าเมืองเซี่ยงไฮ้ด้วย
ภาพที่ 3 เพดานห้องที่จัดแสดงแผนผังของเส้นทางรถไฟฟ้าที่แสดงถึงการขยายตัวของเมืองเซี่ยงไฮ้
เมื่อเดินมาถึงตรงนี้เริ่มคิดในใจแล้วว่าชั้นห้าจะแสดงอะไรอีก เพราะการจัดวางของตัวนิทรรศการนั้นเรียกได้ว่า “พีค” ขึ้นทุกชั้น แต่แล้วเมื่อขึ้นมาถึงชั้นห้าผมก็ต้องร้องว้าวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะจัดผนังโดยรอบให้เป็นกระจกทั้งหมด เพื่อให้เราได้เห็นเมืองของจริงนั่นเอง เป็นการจบเรื่องเล่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ คือให้ผู้ชมเห็นของจริงไปเลย ยิ่งทำให้นึกทบทวนไปถึงโมเดลและเรื่องเล่าตลอดทั้งสี่ชั้นที่ผ่านมา เมื่อมองออกไปด้านนอกเราจะเห็นทั้งการคงอัตลักษณ์ของชาติตะวันตกฝั่งผู่ซี และเมืองใหม่ทันสมัยฝั่งผู่ตง ทำให้เข้าใจกระจ่างในทันทีว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เล่าเรื่องเมืองที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างครบถ้วน ซึ่งเมืองก็ทำหน้าที่เล่าเรื่องราวผู้คนอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นคำตอบของการวางผังเมืองก็เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนในเมืองนั่นเอง
ภาพที่ 4 สภาพเมืองเซี่ยงไฮ้ในปัจจุบัน
เรียกได้ว่าที่นี่นอกจากจะสร้างความประทับใจจากการรับชม ยังทำให้เข้าใจแนวคิดของผู้วางนโยบายในการพัฒนาเมืองอีกด้วย ท้ายที่สุดเมื่อเดินออกมาจาก SUPEC จะเจอกับสวนสาธารณะ People park เหมาะสำหรับการเดินเล่นมาก โดยบริเวณดังกล่าวยังมีพิพิธภัณฑ์อีก 2 แห่ง ได้แก่ Shanghai Museum และ Shanghai MOCA (Museum of Contemporary Arts) ซึ่งถ้าพอมีเวลาก็แนะนำให้รับชมทั้งสองมิวเซียมเช่นกันครับ
นฤดม สินอุดม