(ภาพปกบทความ : ภาพวาดบนกำแพงภายในพิพิธภัณฑ์ฝีมือเออร์เนสต์ ซาคาเรวิก (Ernest Zacharevic) นักวาดภาพสตรีทอาร์ทชาวลิธัวเนียที่ไปสร้างชื่อที่ปีนัง)
ในยุคสมัยที่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นเวทย์มนต์ จะถ่ายภาพให้สวยงามเกินจริงอย่างไรก็ได้ในทุกสภาวะการณ์ จะใช้สร้างภาพยนตร์ทั้งเรื่องก็ยังได้ กล้องถ่ายภาพจริงๆ ก็กลายเป็นดิจิตอลไปหมดแล้ว คนส่วนใหญ่ในโลกคงจะไม่รู้จักกล้องฟิล์มและจะไม่ได้พานพบประสบการณ์สนุกๆ ของการถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม
ยกเว้นคุณจะลองเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์กล้องถ่ายภาพที่ดีงามสักแห่ง
ภาพที่ 1 การจัดแสดงภายใน The Camera Museum (Georgetown)
พิพิธภัณฑ์กล้องถ่ายภาพที่ดีๆ มีอยู่มากมายในโลก เพราะกล้องฟิล์มเพิ่งจะออกไปจากการถ่ายภาพกระแสหลักเมื่อไม่นานมานี้เองและคนที่เคยใช้กล้องฟิล์มก็ยังมีชีวิตอยู่ อย่างที่ปีนังเมืองเล็กๆ เมืองเดียวยังมีพิพิธภัณฑ์กล้องถ่ายภาพอยู่ถึงสองแห่ง คือ The Camera Museum (Georgetown) และ Asia Camera Museum (Penang)
พิพิธภัณฑ์ที่ผู้เขียนเข้าไปชมคือ The Camera Museum (Georgetown) ตั้งอยู่ในตึกแถวเล็กๆ ห้องหนึ่ง มีแค่เพียงสองชั้น เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ถูกจริตของผู้เขียนมากจนอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่หวนนึกถึงมัน
ภาพที่ 2 ตัวอย่างกล้องถ่ายรูปโบราณที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์
ประการแรก เพราะมันเล็กมากแต่มีเรื่องอยากเล่ามีของอยากโชว์เยอะแยะไปหมด ผู้เขียนมักหลงรักพื้นที่แคบๆ ที่มีการออกแบบประโยชน์ใช้สอยได้อย่างคุ้มค่า เชื่อได้ว่าเจ้าของพิพิธภัณฑ์ได้คิดกับมันมาเป็นอย่างดี เขาจัดแสดงคอลเลกชันของกล้องทั่วโลกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 จนถึงปัจจุบัน, ภาพถ่ายชิ้นแรกๆ ของโลก ภาพถ่ายของคนดังในประวัติศาสตร์กับกล้องที่ใช้ถ่าย, ห้องจัดแสดงกล้องแบบพิเศษต่างๆ เช่น “ห้องสปาย” จัดแสดงกล้องสายลับ ชำแหละส่วนประกอบเล็กจิ๋วและการทำงานของมัน กล้องปืนกลของญี่ปุ่น (Machine Gun Camera) ที่เป็นต้นกำเนิดของกล้องโคนิก้า (Konica) กล้องของเล่นและกล้องใช้ง่ายๆ สำหรับเด็กที่มาพร้อมตัวการ์ตูนต่างๆ, กล้องสามมิติ-ใครจะนึกว่ามันมีมาตั้งนานแล้ว แล้วกล้องสามมิติตัวแรกมันหน้าตาเป็นอย่างไรและทำงานอย่างไร, ห้องมืดสำหรับล้างฟิล์มและอัดรูปประกอบด้วยอะไรบ้างและใช้งานอย่างไร, Obscura Room ตามรากศัพท์ก็แปลว่าห้องมืด แต่ปัจจุบันเรียกกันว่ากล้องรูเข็มหรือกล้องทาบเงา ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ค้นพบนานแล้วก่อนจะนำมาใช้ในกล้องถ่ายรูป ในห้องนี้เราจะได้เรียนรู้ว่าเมื่อแสงส่องผ่านรูเล็กๆ ผ่านห้องมืดไปตกลงบนผนังสีขาวมันจะถ่ายทอดรูปกลับหัวจากด้านที่เป็นต้นกำเนิดของแสง, ใบปิดโฆษณาขายกล้องชนิดต่างๆ ในสมัยก่อนเป็นสิ่งที่ผู้เขียนชอบมาก เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นของผู้คนกับนวัตกรรมใหม่ในยุคนั้น และสุดท้ายพิพิธภัณฑ์ยังอุตส่าห์เจียดพื้นที่ให้กับมุมกาแฟและขนมเค้กอร่อยๆ อีกด้วย
ภาพที่ 3 : “เพียงกดชัทเตอร์ ที่เหลือเราจัดให้” โกดัก...กล้องที่ใครๆ ก็ใช้ได้โดยไม่ต้องมีคู่มือ
ประการที่สอง มีกล้องจำนวนหนึ่งที่อนุญาตให้หยิบจับได้ ได้รับรู้ถึงน้ำหนัก ผิวสัมผัส และพลิกดูรายละเอียดในมุมต่างๆ กล้องรุ่นเก่าที่จัดแสดงบางชิ้นเป็นกล้องที่ทำจำลองขึ้น ในห้องกล้องรูเข็ม (Obscura Room) ผู้ชมสามารถทดลองทำรูปภาพเองโดยมีผู้นำชมคอยแนะนำ
ภาพที่ 4 : กล้องปืนกลของญี่ปุ่น ใช้ในการฝึกของนักแม่นปืนและนักบินในสงครามโลกครั้งที่สอง
สามารถรัวภาพได้สิบเฟรมต่อวินาที
ประการที่สาม ผู้เขียนรับรู้ได้ถึงความสุข ความสนุก และความหลงรักที่ผู้จัดทำมีต่อกล้องถ่ายภาพและเรื่องราวทั้งหมดที่แวดล้อมมัน พิพิธภัณฑ์กล้องบางแห่งอาจจะมาในบุคลิกเคร่งขรึมจริงจัง แต่ไม่ใช่ที่นี่ พื้นที่จัดแสดงที่จำกัดทำให้วัตถุ-ผู้คนในช่วงเวลาต่างๆ และความรู้สึกร่วมของพวกเขา เข้ามาร้อยเรียงคู่ขนานกันไปให้ความรู้สึกของแต่ละชั่วขณะแห่งความอัศจรรย์ใจในสิ่งประดิษฐ์ใหม่ เหมือนว่าเรากำลังร่วมเดินทางตามกาลเวลาไปกับกล้องถ่ายรูป ตั้งแต่มันเริ่มกำเนิดขึ้นมาในโลก คืบคลานตั้งไข่กับการทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งค้นพบว่าตนเองสามารถทำอะไรได้ ผู้คนต่างเข้ามามุงดูเจ้าหนูน้อยมหัศจรรย์คนนี้โตขึ้นแล้วออกไปทำงาน แรกๆ มันทำหน้าที่บันทึกภาพชนชั้นนำระดับประเทศและต้องใช้โดยช่างที่มีความชำนาญเท่านั้น แต่ไม่นานมันก็แพร่หลายออกไป บางตัวได้อยู่ในมือเจ้าหญิงแห่งฮอลลีวูดอย่างออเดรย์ เฮปเบิร์น แล้วกลายเป็นกล้องที่ใครๆ ก็ใช้ได้ กล้องที่ผู้คนใช้บันทึกภาพครอบครัว เพื่อนฝูงกับความทรงจำแสนสุข ในที่สุดแม้แต่เด็กน้อยก็ยังใช้มันได้ ดูนิทรรศการมาถึงตรงนี้ผู้เขียนก็นึกถึงครั้งที่เก็บเงินค่าขนมไปซื้อกล้องแบบถ่ายครั้งเดียวทิ้งราคา 35 บาท นิทรรศการทำให้ผู้เขียนย้อนนึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับความพยายามจะถ่ายภาพและมีกล้องถ่ายภาพของตนเองในวัยเด็กอยู่หลายเรื่อง บางเรื่องก็รันทด บางเรื่องก็น่าเบิกบานใจ
ภาพที่ 5 : พวกลุงๆ พากันถ่ายเซลฟี่เมื่อร้อยปีมาแล้ว
แต่ความเบิกบานกับนิทรรศการนี้อาจเป็นเรื่องอัตวิสัย เป็นไปได้ว่าผู้เขียนอาจมีจริตตรงกันกับผู้จัดแสดง พิพิธภัณฑ์ทำให้ผู้เขียนนึกถึงกล้องฟิล์มตัวเก่าที่เคยใช้ นึกถึงฟิลเตอร์หลายแบบที่เราจะต้องเลือกมาครอบลงบนเลนส์เพื่อสร้างสรรค์ภาพแบบต่างๆ ที่ปัจจุบันเพียงกดเลือกเอาในเมนู แต่มันไม่สนุกและหลากหลายเท่าการที่ต้องคิดและนำฟิลเตอร์บางอย่างมาผสมกัน ฟิล์มขาวดำ ฟิล์มสี และฟิล์มสไลด์ก็มีธรรมชาติในการถ่ายคนละแบบ สิ่งที่เห็นในช่องมองภาพ (viewfinder) กับสิ่งที่ถูกบันทึกลงบนฟิล์มจะไม่เหมือนกัน ต่างกับที่เราเห็นในจอของกล้องดิจิตอลทุกวันนี้ ช่างภาพจำเป็นต้องใช้จินตนาการบวกกับฝีมือและประสบการณ์เพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการ ห้องมืดทำให้นึกถึงวันคืนที่โหลดฟิล์ม ล้างฟิล์ม และตอนที่เห็นมันขึ้นรูปมาทีละน้อยบนกระดาษอัดรูป ครูสอนถ่ายภาพเคยบอกผู้เขียนว่าถ่ายรูปน่ะ 20% ที่เหลืออีก 80% คือการอัดรูป มันเป็นศิลปะ
ภาพที่ 6 : ออเดรย์ เฮปเบิร์น กับกล้องโพลารอยด์ของเธอ กล้องโพลารอยด์คือกล้องที่ใช้ฟิล์มสำเร็จรูปสามารถ
อัดรูปออกมาดูได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากถ่าย โพลารอยด์เป็นชื่อยี่ห้อที่กลายเป็นชื่อเรียกกล้องประเภทนี้กันทั่วไป
บทความนี้ขอมีรูปประกอบมากสักหน่อยเพราะเรากำลังพูดถึงพิพิธภัณฑ์กล้องถ่ายรูปนี่นะ
ปัจจุบัน The Camera Museum ย้ายไปอยู่ที่ปีนังฮิลล์ และด้วยพื้นที่ใช้สอยที่เปลี่ยนไปพิพิธภัณฑ์อาจจะไม่ได้เป็นเช่นเดียวกับที่ผู้เขียนได้ไปชมในปีค.ศ. 2017
ภาพที่ 7 : เมื่อคุณถ่ายภาพผู้คนเป็นภาพสีคุณกำลังเก็บภาพเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของพวกเขา แต่เมื่อคุณถ่ายภาพขาวดำคุณกำลังบันทึกภาพจิตวิญญาณของพวกเขา : เท็ด แกรนท์ (Ted Grant ช่างภาพชาวแคนาดา ปัจจุบันอายุ 92 ปี)
กระต่ายหัวฟู