ในช่วงต้นปี 2019 มีพิพิธภัณฑ์เปิดใหม่ที่น่าสนใจมากมายหลายแห่ง และหนึ่งในนั้นก็มี National Museum of Qatar หรือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกาตาร์ ที่เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พร้อมกับพิธีเปิดที่ยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้ตัวพิพิธภัณฑ์เลยทีเดียว โดยในงานนี้ได้เชิญอภิมหาเศรษฐี คนดัง และซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกไปร่วมงานกันอย่างคับคั่ง อาทิ จอนห์นี่ เด็ปส์, นาโอมิ แคมเบลล์ และวิคตอเรีย เบคแคม ก็มาร่วมปรากฎตัวในงานเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกาต้านี้ด้วยเช่นกัน
หากจะกล่าวถึงประเทศกาตาร์หลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นหูหรือรู้จักมากนัก เนื่องจากเป็นประเทศที่ไม่ได้มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายสักเท่าไหร่ ประเทศเล็กๆ ที่อยู่ในทวีปเอชียตะวันออกกลาง มีภูมิประเทศแบบแหลมที่ยื่นออกไปในอ่าวเปอร์เซียกาตาร์จึงได้สมญาว่า “ไข่มุกแห่งเปอร์เซีย” เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมันและก๊าซธรรมชาติซ่อนอยู่มหาศาล จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และเพื่อเป็นการเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพบอลโลกในปี 2020 ทำให้สิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ ทยอยผุดขึ้นในประเทศกาตาร์ สถาปัตยกรรมดั้งเดิมก็ได้รับการปรับปรุง เพื่อให้ร่วมสมัยมากขึ้น รวมถึง National Museum of Qatar กับการทุ่มทุนสร้างกว่า 434 ล้านดอลลาร์ บนพื้นที่ 52,000 ตารางเมตร
National Museum of Qatar เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2019 หลังจากที่เลื่อนการเปิดมาถึง 3 ปี และดำเนินการก่อสร้างมากว่าทศวรรษ ในที่สุดก็สมการรอคอย ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บริเวณถนนคอร์นิช ซึ่งเป็นทางเดินริมน้ำที่โด่งดังและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงโดฮา เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของกาตาร์ National Museum of Qatar เป็นผลงานการออกแบบของ “ฌอง นูเวล (Jean Nouvel)” สถาปนิกชื่อดังชาวฝรั่งเศสผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ที่อาบูดาบี และ Arab World Institute ที่กรุงปารีส การันตีได้ว่าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกาตาร์จะต้องเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ทั่วโลกจะต้องกล่าวถึงอย่างแน่นอน โดยในเดือนแรกของการเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นทางการก็มียอดผู้เข้าชมสูงถึง 132,000 คน เลยทีเดียว
ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์มีความโดดเด่นสวยงามสะดุดตาโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “กุหลาบทะเลทราย (desert rose)” เป็นผลึกก้อนหินที่ก่อตัวเป็นชั้นๆ สวยงามสามารถพบเห็นได้ทั่วไปท่ามกลางทะเลทรายของการ์ต้า หรือบางทีก็คล้ายกับแผ่นซีดีหลายแผ่นมาวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ จำนวน 539 แผ่น อย่างสวยงาม นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่แปลกตาแล้ว ลวดลายบนผนังยังถูกดีไซน์ให้เหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ที่เป็นทรงเรขาคณิต โดยฌอง นูเวล สถาปนิกผู้ออกแบบได้ยกย่องกุหลาบทะเลทรายแห่งนี้ว่าเป็น “สิ่งปลูกสร้างที่ไม่หลงลืมอดีต และเฉลิมฉลองอนาคตไปพร้อมกัน” ระหว่าทางเดินเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์ผู้เข้าชมยังได้ตื่นตาตื่นใจกับประติมากรรมน้ำพุจำนวน 114 ชิ้น เรียงรายในสระความยาว 900 เมตร นอกจากนี้ยังถือว่า National Museum of Qatar เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งแรกของโลกที่อาคารผ่านมาตรฐานอาคารสีเขียว LEED (Leadership in Energy & Environmental Design) ระดับ Gold และ GSAS (Global Sustainability Assessment System) ระดับ 4 ดาว
เห็นรูปทรงภายนอกของตัวนิทรรศการแล้วคงยากจะจินตนาการถึงห้องต่างๆ ภายในอาคารแห่งนี้ เพราะมีรูปทรงที่แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ทั่วไปทำให้ห้องจัดแสดงนิทรรศการบางห้องกว้าง บางห้องแคบ และถูกเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินกว่า 1.5 กิโลเมตร ทั้งหมด 11 ห้อง ลักษณะของแต่ละห้องก็ไม่เป็นสี่เหลี่ยมอย่างห้องนิทรรศการทั่วไปจะตั้งตู้โชว์ หรือแขวนติดผนังก็ทำได้ยาก ทำให้ต้องออกแบบรูปแบบการจัดแสดงเป็นพิเศษโดยใช้วิธีฉายหนังสั้นเชิงสารคดีลงไปบนผนังทั่วทุกด้าน เพื่อเพิ่มสีสันให้กับโบราณวัตถุที่จัดแสดงอยู่ในตู้โชว์ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น สำหรับเนื้อหาของนิทรรศการจะมุ่งเน้นไปที่ประวัติศาสตร์ มรดกและวัฒนธรรมของชาติเป็นหลัก กาตาร์เป็นดินแดนโบราณที่อุดมไปด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของทะเลทรายและทะเล นิทรรศการจะเริ่มเล่าตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่มนุษย์จะมาอาศัยอยู่ที่อ่าวเบงกอล ทำให้เห็นถึงวิวัฒนาการของประเทศเรื่อยมาจนถึงการก่อบ้านสร้างเมืองที่เป็นรากฐานมาจนถึงปัจจุบัน ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือ “Pearl Carpet of Baroda” พรมไข่มุกอันโด่งดังของบาโรด้า ที่สร้างจากฝีมือมนุษย์ เมื่อปี 1865 ประกอบด้วยไข่มุก 1,500,000 เม็ด และ คัมภีร์อัลกุรอาน จากศตรวรรษที่ 18 ซึ่งถือว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบในกาตาร์
นอกจากความสวยสะดุดตาทั้งภายนอกและภายในของ National Museum of Qatar แล้วสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้คือ ห้องขายของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นมิวเซียมกิ๊ฟชอปที่สวยที่สุดในโลก และความงดงามนี้ก็เกิดมาจากการสร้างสรรค์ผลงานสถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น Koichi Takada ที่เป็นผู้ออกแบบลวดลายผนังห้องเป็นลูกคลื่นชั้นๆ ทำมาจากไม้กว่า 40,000 ชิ้น ประกอบด้วยมือทุกชิ้นโดย Claudio Devoto ช่างไม้ชาวอิตาลีและทีมช่างฝีมือของเขา เพดานที่สูงขึ้นไปทำให้ทั้งห้องดูอลังการงานสร้างมากๆ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ถ้าแห่งแสง หรือ Dhal Al Misfir” สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของกาตาร์ เป็นถ้ำที่เต็มไปด้วยคริสตัลยิปซัมเป็นเส้น ๆ และสามารถปล่อยแสงฟลูออเรสเซนต์ฟลูออเรสเซนต์ออกมาได้จึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำแห่งแสงนั่นเอง
ขอบคุณที่มาและภาพประกอบจาก
https://www.thisiscolossal.com
https://www.theartnewspaper.com